logo-heading

"แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อแข้งใหม่ได้ แม้จะมีเซอร์จิมเป็นหุ้นส่วนแล้วก็ตาม" นี่คือพาดหัวใหญ่จาก เจมส์ ดั๊คเกอร์ เทียร์ 1 สายแมนเชสเตอร์ แต่จะมีโอกาสเกิดขึ้นจริงแค่ไหน? เรามาวิเคราะห์กัน

ดั๊คเกอร์บอกว่าสาเหตุหลักคือ 3 ฤดูกาลหลังสุด ยูไนเต็ดใช้เงินซื้อแข้งใหม่ไปถึง 555 ล้านปอนด์ โดยในยุคของเทนฮากก็ปาไป 420 ล้านปอนด์แล้ว นอกจากนี้ หากทีมไม่ได้ไปเล่น UCL ฤดูกาลหน้าจะยิ่งลำบาก เพราะการพลาดลงเล่นรอบแบ่งกลุ่ม จะทำให้เสียรายได้ไปกว่า 40 ล้านปอนด์ 

ตามกฎ PSR ของพรีเมียร์ลีกจะให้ทีมขาดทุน 3 ปีหลังสุดไม่เกิน 105 ล้านปอนด์ นี่คือจุดที่ยูไนเต็ดระวังแบบสุดขีด จนไม่ได้ซื้อใครเมื่อเดือนมกราคม แต่ดั๊คเกอร์บอกว่าจะระวังแค่ PSR ไม่ได้ ต้องระวัง FFP ของยูฟ่าด้วย 

ตอนนี้กฎของยูฟ่าคือ รายจ่ายต้องไม่เกิน 90% ของรายได้ แต่ฤดูกาลหน้าจะลดตัวเลขลงมาคือห้ามเกิน 80% ซึ่งมันจะยากกว่าเก่า เพราะคุณต้องหารายได้มากขึ้น และทำให้รายจ่ายน้อยลงด้วย นอกจากนี้ อีก 2 ปีข้างหน้าตัวเลขจะยากแบบสุดขีด คือห้ามเกิน 70% (ต่ำสุดแล้ว ไม่ลดไปกว่านี้แล้ว) แต่ถ้าไม่รีบปรับตัวล่วงหน้า คงลำบากในระยะยาว

อันที่จริงยูไนเต็ดคือทีมที่หาเงินเก่งมากนะครับ พวกเขาไม่เคยหลุดท็อป 5 ของยุโรปเลย นับตั้งแต่มีการจัดอันดับครั้งแรกเมื่อปี 1996-97 แต่ปัญหาที่ทำให้เสี่ยง FFP ตลอดเวลาคือขายนักเตะไม่ค่อยออก

สวิสส์แรมเบิล สื่อการเงินชื่อดังวิเคราะห์ว่า หากซัมเมอร์ก่อนยูไนเต็ดขายพวก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ หรือสก็อตต์ แม็คโทมิเน่ย์ ออกไปได้ การเงินคงคล่องกว่านี้ เท่านั้นไม่พอ ยูไนเต็ดมักมีปัญหาทุ่มสตาร์มาแล้วเล่นไม่ออก เช่น เจดอน ซานโช่ ที่ย้ายมาด้วยราคาแพง แต่ก็ขายทำเงินทันทีไม่ได้ ต้องแก้ด้วยการปล่อยยืม

อันโตนี่ก็อาจเป็นคนต่อไป ถ้าไม่เร่งโชว์ผลงานออกมา นั่นหมายความว่า ถ้ายูไนเต็ดขายนักเตะได้เก่งกว่านี้ หรือซื้อตัวผิดพลาดน้อยลงกว่าเดิม จนไม่ต้องปล่อยแบบถูกๆ พวกเขาควรจะมีรายได้มากกว่าปัจจุบัน

หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ากลัวเรื่อง FFP แล้วทำไมซัมเมอร์ก่อนกล้าทุ่มซื้อ เมสัน เมาท์, อันเดร โอนาน่า หรือราสมุส ฮอยลุนด์? ทำไมไม่ประหยัดไปตั้งแต่ตอนนั้น? คำตอบคือฤดูกาลนี้ยูไนเต็ดยังได้ไป UCL ทำให้รอบบัญชี 3 ปีหลังสุดเนี่ย คือได้เล่น UCL 2 ปี และไม่ได้เล่นแค่ปีเดียว ภาพรวมเลยพอสู้ไหว

แต่ฤดูกาลหน้า หากทีมไม่ได้ไปเล่น UCL การนับยอดบัญชี 3 ปีหลังสุด มันจะเป็นไม่ได้เล่น UCL 2 ปี และได้เล่นแค่ปีเดียว แน่นอนว่ารายได้หายไปมหาศาล 

ผลงานจากฤดูกาลก่อนที่จบท็อป 4 ทำให้ยูไนเต็ดมีรายได้ถึง 648.4 ล้านปอนด์ แต่ถ้านับย้อนไป 2 ปีก่อนที่ไม่จบท็อป 4 พวกเขาทำเงินไป 583.2 ล้านปอนด์ นี่คือความแตกต่างของตัวเลข ซึ่งทำให้รายงานของ เจมส์ ดั๊คเกอร์ ดูเป็นไปได้

คราวนี้มาที่เรื่องจำนวนหุ้น เซอร์จิมซื้อสำเร็จไปแล้วที่ 27.7% และสามารถเพิ่มจำนวนหุ้นเป็นเกือบ 30% ได้ หากจ่ายเพิ่มอีกประมาณ 237 ล้านปอนด์ ซึ่งหลายคนสงสัยว่า เงินสำหรับเพิ่มหุ้นก้อนนี้ เอาไปซื้อนักเตะได้หรือเปล่า?

ต้องเข้าใจแบบนี้ครับ เงินก้อนนี้จะเข้าไปสู่คลังของสโมสร เขาจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่สะดวกเลย ทำสนามก็ได้ ปรับปรุงสนามซ้อมก็ได้ แต่มันไม่สามารถนับรวมในบัญชีของ FFP หรือ PSR ได้ 

รายได้ที่จะเข้าบัญชีของทั้ง 2 กฎนั้น ต้องมาจากรายได้เชิงกีฬาล้วนๆ เช่น เงินรางวัลจากผลแข่งขัน, ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด, แมตช์เดย์, การขายนักเตะ, การขายของหรือการหาสปอนเซอร์มาหนุนทีม ซึ่งปีล่าสุดที่ยูไนเต็ดทำเงินไป 648.4 ล้านปอนด์ ก็มาจากตรงนี้แหละ แต่คุณไม่สามารถอัดฉีดเงินเจ้าของสโมสรในบัญชีได้

คีแรน แม็กไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินกีฬาวิเคราะห์ว่า เงินจำนวน 237 ล้านปอนด์ตรงนี้ เซอร์จิมน่าจะเอาไปใช้เรื่องปรับปรุงสนามใหม่มากกว่า คือตัวเลขนี้ว่ากันตามตรงก็ยังไม่ได้เยอะมาก เพราะทำสนามใหม่น่าจะมีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านปอนด์ แต่อย่างน้อยก็เอาไปเป็นค่าดำเนินงานเบื้องต้นได้

ท้ายที่สุด ยูไนเต็ดจะซื้อนักเตะได้เยอะ หรือซื้อไม่ได้เลย มันขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย

อย่างแรกคือผลงานในสนาม ถ้าเร่งสปีดแซงจบท็อป 4 ได้สำเร็จ พวกเขาอาจมีโควตาเพียงพอต่อการเสริมแข้งชั้นนำได้บ้าง และอีกปัจจัยคือการขายนักเตะ ถ้าขายได้ราคาดี อาจเพิ่มทุนสโมสรได้ด้วย

แต่ในทางกลับกัน ถ้าปีหน้าไม่ได้ไป UCL แถมขายนักเตะไม่ค่อยออกด้วย มันจะยิ่งทำให้ทีมลำบาก จนถึงขั้นซื้อแพงแทบไม่ได้เลย

หากในตอนท้าย ผลออกมาไม่สมหวัง คนที่ควรตำหนิมากสุดคือผู้บริหารชุดเก่า มันคือผลพวงจากความผิดพลาดในอดีต ที่กำลังจะส่งผลต่อปัจจุบัน

ดังนั้น การมาของเซอร์จิม เราต้องให้เวลาเขาเคลียร์ตรงนี้หน่อย จัดการเรื่องเงินใหม่ และตั้งบุคลาการทางกีฬาให้แน่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะดีลของ แดน แอชเวิร์ธ ที่ต้องเอามาเป็นผอ.กีฬาคนใหม่ให้ได้

ต้องเข้าใจว่ายูไนเต็ดยุคเซอร์จิม คงยากที่จะออกตัวแบบไวไฮสปีด แต่ถ้าอดทนรอกันได้ รอจนปัญหาในอดีตถูกสะสาง 100% ผมเชื่อว่าในอนาคตพวกเขาจะดีกว่านี้ 

เอาแค่คิดได้ว่าควรแก้ทีมบริหารใหม่ ผมก็เชื่อว่าเซอร์จิมมาถูกทางแล้ว

- Petr Boat -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline