logo-heading

แต่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ใช่แบบนั้นเลย พวกเขาจัดหนัก จัดเต็ม ไม่มีอ่อนข้อ ให้กับใครใดๆทั้งสิ้น ส่งลงทั้ง เควิน เดอ บรอยน์ และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ซึ่งประเด็นนี้แหละครับ ที่มันเป็นการประกาศไปถึง ลิเวอร์พูล หรือ อาร์เซน่อล กลายๆเลยว่า พวกเขาพร้อมเดินหน้าคว้าทุกแชมป์ในซีซั่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยเล็ก หรือ ถ้วยใหญ่ ก็ตาม

และ มันมีปัจจัยใดบ้าง ที่บ่งชี้ว่า แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสเข้าป้ายเป็นแชมป์ที่มีอยู่ในซีซั่นนี้ ไปวิเคราะห์พร้อมๆกันเลยครับ

1. ตัวเจ็บแทบไม่มี

ย้อนกลับไปช่วงต้นซีซั่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจอข่าวร้ายเกี่ยวกับ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ต้องผ่าตัดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง และ พักยาวถึง 4 เดือน ด้วยกัน ซึ่งการไม่มี เควิน เดอ บรอยน์ ก็ทำให้ เรือใบสีฟ้า สะดุดไปหลายนัดเหมือนกันครับ มีทั้งแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน, แพ้ แอสตัน วิลล่า หรือการเจอกับทีมบิ๊กซิกซ์ ก็ชนะไม่ค่อยได้ มีเสมอกับ เชลซี, ลิเวอร์พูล หรือ แพ้ อาร์เซน่อล เป็นต้น

แต่กระนั้น ต่อให้ แมนฯ ซิตี้ จะมีฟอร์มเป๋ไปมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็เกาะกลุ่มหัวตารางมาได้ตลอด โดยไม่ยอมให้พวก ลิเวอร์พูล หรือ อาร์เซน่อล ทิ้งห่างไปไหนไกลได้เลย โดยตอนนี้รั้งอยู่อันดับ 2 ของตาราง และ ตามหลัง หงส์แดง อยู่เพียงแค่ 1 แต้ม เท่านั้น

ซึ่งหากมองจากสถานการณ์ ณ ตอนนี้ หลายคนยังมองว่า แมนฯ ซิตี้ ยังคงเป็นเต็ง 1 ในการคว้าแชมป์ ด้วยสถิติหลายๆซีซั่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะซีซั่นที่ชนะ 14 นัดรวดเข้าป้ายคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยการปาดหน้า ลิเวอร์พูล ไปเพียงแค่ 1 แต้ม และ ซีซั่นก่อน ก็ทำซ้ำ ด้วยการแซง อาร์เซน่อล

แต่ปัจจัยที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เปรียบ ลิเวอร์พูล และ ทีมอื่นๆ นั่นก็คือ ความสมบูรณ์ของตัวผู้เล่น อย่างที่ทราบกัน ลิเวอร์พูล มีตัวเจ็บเพียบไปหมด ตั้งได้เกือบ 1 ทีม ไม่ว่าจะเป็น อลิสซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, สเตฟาน บายเซติช,  ไรอัน กราเฟนแบร์ค, ดิโอโก้ โชต้า, ติอาโก้ อัลคันตาร่า หรือ เคอร์ติส โจนส์ 

ยังไม่รวม โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ และ โดมินิค โซบอสไล ที่ใกล้หายกลับมาลงสนาม แต่ยังไม่ชัวร์ว่าจะกลับมาลงสนามได้เมื่อไหร่

ทำให้แฟนๆจึงได้เห็น เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่งแก๊งลูกกรอกคะนอง ไปบู๊กับนักเตะ เชลซี จนคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ มาครองได้

แต่มันผิดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แทบไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวนหัวใจ จะมีก็ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ที่ใกล้จะคัมแบ็กกลับมาในช่วงต้นเดือนมีนาคม รวมถึง แจ็ค กรีลิช ซึ่งมีอาการบาดเจ็บในเกมชนะ ลูตัน 6-2 ถามว่าเสียหายไหม ก็เสียหายแหละครับ แต่ผมเชื่อว่าไม่ได้เดือดร้อนมากขนาดนั้น

เพราะ แมนฯ ซิตี้ มีตัวเลือกในแนวรุกเพียบไปหมด ตำแหน่งของ กรีลิช ก็สามารถถูกทดแทนได้โดย เฌเรมี่ โดกู หรือ มาเธอุส นูเนส เป็นต้น ซึ่งมันก็แล้วแต่แท็คติคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า 

หากถามว่า แล้ว อาร์เซน่อล ล่ะ ? ตัวเจ็บก็ไม่ค่อยมีเหมือนกัน ใช่ครับ ตัวบาดเจ็บไม่เยอะ แต่คนที่เจ็บไป มันคือ 3 ฟูลแบ็กอย่าง ทาเคฮิโระ โทมิยาซึ, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และ ยูร์เรี่ยน ทิมเบอร์ โดยทางแบ็กซ้าย ต้องโยกเอา ยาคุบ คิวิออร์ มาเล่นแบบจำเป็น ก็ยังต้องรอดูว่า จะรักษามาตรฐานไปได้ตลอดหรือเปล่า แต่ข่าวดีตอนนี้คือ  ยูร์เรี่ยน ทิมเบอร์ กลับมาซ้อมได้แล้ว

ดังนั้น ถ้าหากเอา 3 ทีมมาวัดกัน เรื่องสภาพความพร้อมของ แมนฯ ซิตี้ บอกเลยว่า ยืน 1 .. เป๊ป สามารถเลือกใช้อาวุธที่มีได้อย่างสนุกมือ เหมือนเกมเจอ ลูตัน แทบจะจัดลงตัวจริงทั้งหมด มีพักเพียงแค่ เอแดร์ซอน, รูเบน ดิอาส และ โรดรี้ เท่านั้น เรียกว่าจัดเต็มมาก นั่นจึงทำให้พวกเขาได้เปรียบ กับการลุ้นคว้าแชมป์ในซีซั่นนี้มากกว่า

2. คู่หูนรก เดอ บรอยน์ - ฮาแลนด์

การกลับมาของ เดอ บรอยน์ เหมือนเป็นการตีบวกให้กับ ฮาแลนด์ ได้กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง เพราะเขาเหมือนได้เพื่อนรู้ใจ ที่คอยป้อนให้ตัวเองได้ทำประตูอยู่เสมอ เหมือนอย่างนัดถล่ม ลูตัน ทาวน์ 6-2 เนี่ยแหละครับ เมื่อ ฮาแลนด์ กดไป 5 ประตู โดยมี เดอ บรอยน์ แอสซิสต์ให้ถึง 4 ลูก !!

เท่ากับว่าตอนนี้ เดอ บรอยน์ หายเจ็บกลับมาลงสนาม แต่ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 11 ครั้ง จากการลงสนาม 12 นัดทุกรายการ มีนักเตะเพียงแค่ 4 คน เท่านั้นใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป ที่ทำแอสซิสต์ ได้มากกว่า บอกเลยว่า "เหลือจะเชื่อ"

ขณะที่ ฮาแลนด์ ที่เคยมีช่วงปืนฝืด ยิงไม่ได้มา 3-4 นัดติดต่อกัน แต่พอได้ เดอ บรอยน์ กลับมาบัญเกมตรงกลางสนาม ความอันตรายก็เพิ่มมากขึ้นอีกหลายขุม ดังนั้นการที่มีคู่หูขวางนรก พร้อมลงทำการแข่งขัน ก็จะทำให้ความน่ากลัวในการลุ้นแชมป์มากขึ้นไปอีก 

เพราะต้องไม่ลืมว่า ลิเวอร์พูล ยังต้องลุ้นอยู่เลยว่า ตัวอันตรายอย่าง โม ซาลาห์ หรือ ดาร์วิน นูนเญซ จะกลับมาตอนไหน แล้วสภาพร่างกายจะสมบูรณ์พร้อมลงสนามไปตลอดหรือเปล่า เนื่องจากการลุ้น 4 แชมป์ มันหลีกเลี่ยงเรื่องอาการล้าไม่ได้

ขณะที่ อาร์เซน่อล ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องการขาดกองหน้าตัวจบสกอร์ ในวันที่ผลการแข่งขันไม่เป็นดั่งใจ มันจึงได้เห็นแท็คติคแบบใหม่ของ มิเกล อาร์เตต้า ที่คอยให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ กลับมาเล่นเป็นฟอลส์ ไนน์ หรือ วิ่งสลับตำแหน่ง ในวันที่ เลอันโดร ทรอสซาร์ ลงสนามเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง ซึ่งก็ต้องมารอดูผลงานกันยาวๆ

3. โปรแกรมการแข่งขัน

เดือนมีนาคม ถือว่าเป็นเดือนที่สามารถตัดสินได้เลยว่า จะมีทีมไหนที่หลุกจากวงโคจรในการคว้าแชมป์หรือเปล่า ทั้งการแข่งขัน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, เอฟเอ คัพ และ ถ้วยฟุตบอลยุโรป ซึ่งหากส่องไปที่โปรแกรมการแข่งขัน นี่คือเดือนที่ แมนฯ ซิตี้ เจอโปรแกรมที่โหดมากๆ 

เมื่อพวกเขา จะต้องเปิดบ้านเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ต้องไปเยือน ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ และ ปิดท้ายเดือนมีนาคม ด้วยการรอต้อนรับ อาร์เซน่อล !! ซึ่งมันโหดมาก หากพลั้งพลาดเพียงแค่ 1 นัด อาจโดนทิ้งห่างไปได้เลย

แต่โปรแกรมความถี่ของ แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เยอะขนาดนั้น ด้วยความที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีม นัดแรก บุกไปเอาชนะ โคเปนเฮเก้น มาก่อน 3-1 ดังนั้นนัดที่ 2 ที่จะเล่นในบ้าน เป๊ป สามารถเลือกพักผู้เล่นบางคนไว้ได้ก่อนเจอกับ ลิเวอร์พูล หรือ ในเกมที่เจอกับ อาร์เซน่อล พวกเขาก็ไม่ใช่คู่แรกที่ต้องลงแข่งขัน หลังกลับมาจากทีมชาติ

เช่นเดียวกันกับ อาร์เซน่อล พวกเขาได้พักเต็มๆมากกว่า 1 สัปดาห์ ไม่มีโปรแกรม เอฟเอ คัพ ลงแข่งขัน ถือว่าได้เปรียบมากพอสมควร แต่เดือนมีนาคม ถือว่าเป็นเดือนอาถรรพ์ที่ ไอ้ปืนใหญ่ ต้องผ่านไปให้ได้ พวกเขาต้องเจอกับ ปอร์โต้ ที่แพ้มาก่อน 0-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีม แถมต่อด้วยการเจอกับ เชลซี ถือว่าหนักไม่เบาเลยทีเดียว

ขณะที่ ลิเวอร์พูล ดูจะหนักที่สุดแล้วครับ เพราะหลังจากเฉลิมฉลองแชมป์ คาราบาว คัพ ได้ 3 วัน ก็ต้องเตะ เอฟเอ คัพ เมื่อคืนที่ผ่านมา และ เอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ไปได้ 3-0 โดยตลอดเดือน มีนาคม ลิเวอร์พูล ต้องเตะ 7 นัด มากกว่าทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ซึ่งถือว่าเสียเปรียบมาก โดยล่าสุดมีโปรแกรมเพิ่มคือต้องบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในการแข่งขัน เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย บอกเลยว่า สภาพความพร้อมของนักเตะ มีปัญหาแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นี่คือการวิเคราะห์ และ คาดเดาครับ จากการเห็น แมนฯ ซิตี้ ฟาดใส่ ลูตัน แบบไม่ยั้ง ทำให้มองว่าพวกเขายังเป็นตัวเต็งในอีก 3 รายการที่เหลือ แต่เชื่อเถอะว่าทั้ง ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าอย่างแน่นอน

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline