logo-heading

แต่คนที่ทำให้ประตูนี้ มันพูดกันว่าเป็น "โมเมนท์แห่งแชมป์" ก็คือ ดาร์วิน นูนเญซ ที่วันนี้ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรอง และ โขกประตูชัยช่วงให้กับทีม ทั้งๆที่มันควรจะต้องแบ่งแต้มกันไปแล้ว เพราะสนามเหย้าของ ฟอเรสต์ เป็นเหมือนของแสลง ลิเวอร์พูล ทว่าอาถรรพ์ที่ ซิตี้ กราวน์ ก็จบลงไปเรียบร้อย ซึ่งหลังจบเกมนี้ มีประเด็นให้พูดถึงกันพอสมควร มันมีเรื่องราวใดบ้าง ไปติดตามกันครับ

- การกลับมาของ 3 ตัวหลัก

ก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เจอร์เก้น คล็อปป์ พยายามจัดตัวผู้เล่นให้ดีที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้ เนื่องจากนักเตะในทีมเจออาการบาดเจ็บเต็มไปหมด โดยยังต้องเอา โจ โกเมซ ขยับขึ้นไปเล่นเป็นมิดฟิลด์หมายเลข 6 เล่นในแผงกองกลางร่วมกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ บ็อบบี้ คล้าร์ก ดาวรุ่ง ที่ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมแรกในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ส่วน 3 ประสานแดนหน้า ยังต้องใช้บริการ หลุยส์ ดิอาซ, โคดี้ กัคโป และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ เนื่องจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังต้องพักฟื้นต่อไป อย่างไรก็ตาม สาวก เดอะ ค็อป โล่งใจกันได้ เพราะในตำแหน่งซุ้มม้านั่งสำรอง มีชื่อของ โดมินิค โซบอสไล กับ ดาร์วิน นูนเญซ สลัดอาการบาดเจ็บ พร้อมกลับมาลงสนามแล้ว รวมถึง วาตารุ เอ็นโด ที่วิ่งจนเจ็บขา ในเกมคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ ก็มีชื่อเป็นตัวสำรองเช่นกัน

นั่นหมายความว่า พวกตัวหลักของ ลิเวอร์พูล กำลังทยอยกันกลับมาช่วยทีมได้อีกครั้ง ซึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือใหญ่ ได้บอกไปแล้วว่า ต่อให้ โม ซาลาห์ จะไม่มีชื่อนัดเจอกับ ฟอเรสต์ แต่เกมลีกนัดถัดไป บังโม จะพร้อมกลับมาช่วย หงส์แดง ได้อีกครั้งแน่นอน

- ครึ่งแรกเกือบหลับ แทบไม่มีอะไรตื่นเต้น

หากตลอดทั้งวันเสาร์ที่ผ่านมา คุณต้องทำงาน หรือ ออกไปเที่ยว เจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก แล้วต้องการกลับมาพักผ่อน เชียร์ฟุตบอลอยู่ที่บ้าน คุณอาจจะเผลอเคลิ้มหลับไปแล้วก็ได้ หากดูการแข่งขันเกมครึ่งแรกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ฟอเรสต์

จริงๆเกมครึ่งแรก มันก็ไม่ได้น่าเบื่อหน่ายอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพราะ ลิเวอร์พูล ก็พยายามครองบอลบุกเข้าใส่ เพื่อหวังทำประตูขึ้นนำให้เร็วที่สุด แต่พวกเขาไม่ได้บุกในแบบฉบับเฮฟวี่เมทัล ค่อยๆต่อบอล ถ่ายบอลหาช่องไปเรื่อย จนสร้างโอกาสได้บางครั้ง แต่ก็ผิดพลาดกันในจังหวะสุดท้าย ถึงขั้นที่ 45 นาทีแรก ทีมเยือนอย่าง ลิเวอร์พูล ยิงไม่ตรงกรอบเลยสักครั้ง

และ ต้องขอบคุณความเหนียวแน่นหนึบของ ควิวีน เคเลเฮอร์ นายทวารตัวจริงในเกมนี้ ที่ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะจังหวะที่ แอนโธนี่ เอลังกา ได้หลุดเข้าไปดวลเดี่ยว แต่ก็เป็น "ลูกหมี" ที่ใช้ขาเซฟไว้ได้ เรียกว่าช่วงนี้ เป็นคัมภีร์หยุดกระสุนจริงๆ มาแบบไหนเซฟได้หมด

สุดท้ายจบ 45 นาทีแรก แบบหงอยๆ แฟนบอล ลิเวอร์พูล หลายๆคน ประสานเสียงพร้อมกันว่า "เกมดูแล้วง่วงเหลือเกิน" และ มีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ไม่มีอะไรให้ชื่นใจมากนัก มีนักเตะในสนาม ถูกวิจารณ์ว่าไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกม เฉกเช่น โคดี้ กัคโป

- เกือบหลับ แต่กลับมาได้

เมื่อครบ 90 นาที และ ทดเวลาบาดเจ็บใกล้ครบ 8 นาที ตามที่ผู้ตัดสินข้างสนามชูป้ายบอกเวลาไว้ แฟนบอล ลิเวอร์พูล คงถอดใจ ก้มหน้ายอมรับกับ 1 คะแนน เพราะไม่ว่าจะลองทำวิธีไหน หรือ เปลี่ยนใครลงมาเล่นแทน ก็ไม่สามารถเจาะแนวรับ และ ซัดผ่านมือ มัตซ์ เซลส์ ผู้รักษาประตู ฟอเรสต์ ได้เลย

อีกใจหนึ่ง การบุกเพลินๆของ ลิเวอร์พูล ก็เกือบโดนหมัดน็อคจาก ฟอเรสต์ ซัดหงายอยู่หลายดอกเหมือนกัน ยังดีที่เจ้าบ้านเอง ก็จบสกอร์กันไม่คม เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างทำกันได้ ดังนั้นการแบ่งกันไปทีมละ 1 แต้ม น่าจะยุติธรรมที่สุด ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะไม่ต้องการก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิเวอร์พูล ได้ลุกเตะมุม เป็นโอกาสเข้าทำครั้งสุดท้าย เมื่อทดเวลาครบ 8 นาที ไปแล้วเรียบร้อย โดยมันเป็นช็อตต่อเนื่อง คอสตาส ซิมิกาส ยิงไปติดบล็อค เข้าทางผู้เล่น ฟอเรสต์ ถ้าเตะทิ้ง หรือ เคลียร์ไปให้จบๆ ผู้ตัดสินคงเป่าหมดเวลาทันที

แต่ผู้เล่ย ฟอเรสต์ กลับหวงบอล ก่อนจะโดน แม็ค อัลลิสเตอร์ ตัดฉกบอลมาได้ ก่อนจะโชว์ความคลาสสิค หมุนตัวหาช่อง ก่อนจะเปิดตัดบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษให้กับ ดาร์วิน นูนเญซ กระโดดโหม่งเช็ดเข้าประตูไปแบบสะใจ และ เป็นประตูชัย ที่ทำให้สาวก หงส์แดง เอาชนะ ฟอเรสต์ ไป 1-0

นับเป็น 3 แต้ม ที่หลายคนมักเรียกกันว่า "โมเมนท์แชมป์" เพราะ ลิเวอร์พูล กำลังจะกลับบ้านด้วยการเก็บได้แค่ 1 คะแนน แต่แล้วก็ได้ 3 แต้มอันล้ำค่าเฉยเลย และ เป็นการกลับมาที่ถูกที่ถูกเวลาของ ดาร์วิน นูนเญซ เหลือเกิน

- นูนเญซ เจ้าพ่อทดเวลาบาดเจ็บ !!

แอนดี้ แคร์โรลล์ 2.0 ที่คุณล้อในวันนั้น กลายมาเป็นเพชฌฆาตคนสำคัญให้กับ ลิเวอร์พูล ในวันนี้ไปแล้ว เพราะการที่ หงส์แดง ขึ้นมานำเป็นจ่าฝูง ก็มี นูนเญซ นี่แหละครับ ที่เป็นคีย์แมนสำคัญ เพราะผลงานส่วนตัวไม่ธรรมดาจริงๆ โดยยิงไปแล้ว 10 ประตู พร้อมทำอีก 7 แอสซิสต์ ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ 

แต่การยิงประตูช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นับเป็นสิ่งที่ นูนเญซ ทำให้เห็นจนกลายเป็นเรื่องชินตาไปแล้ว ยิ่งถ้าเป็นเกมเยือน ยิ่งเป็นของชอบของ นูนเญซ เข้าไปใหญ่ โดยมันมีสถิติบ่งชี้ว่า นูนเญซ ยิงประตูเกมเยือนในลีกซีซั่นนี้ ไปแล้ว 7 ประตู .. 4 ลูก มาจากการยิงเบิกสกอร์ขึ้นนำ, 3 ลูก เกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และ อีก 2 ลูก เป็นการยิงประตูชัย ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งเกิดขึ้นในเกมชนะ ฟอเรสต์ อีกครั้ง

หลังจบเกม มีนักข่าวเข้าไปถาม เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงประเด็นที่แฟนบอล น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ร้องเพลงแซว ดาร์วิน นูนเญซ ว่า แกมันก็แค่ไอ้ แอนดี้ แคร์โรลล์ ห่วยๆนั่นแหละว่ะ ซึ่ง คล็อปป์ ก็ตอบกลับไปแบบชนิดที่ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

"ฮ่าๆๆๆ เอาจากใจเลยนะ ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ร้องเพลงนั้นออกมาอย่างเด็ดขาด เพราะผมจะไม่พยายามทำให้ ดาร์วิน รู้สึกโกรธ หรือ หงุดหงิด หรอกนะ!" 

ในวันที่ ซาลาห์, ดิโอโก้ โชต้า มีอาการบาดเจ็บ ก็เป็น นูนเญซ ที่ขึ้นมาเป็น เดอะ แบก เรื่องการทำประตู การเก็บ 3 แต้มนัดนี้ มันสำคัญกับเรื่องสภาพจิตใจ เพราะอย่างน้อยตอนนี้ ก็ยังเป็นจ่าฝูง ในแบบที่นำหน้า แมนฯ ซิตี้ อยู่ 4 แต้ม นำหน้า อาร์เซน่อล 5 แต้ม แม้จะแข่งมากกว่า 1 นัดก็ตาม

- ล้างอาถรรพ์ที่ ซิตี้ กราวน์

ชัยชนะนัดนี้ มันไม่ได้สำคัญเพียงแค่การเก็บ 3 แต้มใหญ่ หรือ รักษาจ่าฝูง รักษาระยะช่องว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล ให้อยู่เท่าเดิม เท่านั้นนะครับ แต่ชัยชนะนัดนี้ มันยังเป็นการล้างอาถรรพ์ที่สนาม ซิตี้ กราวน์ รังเหย้าของ ฟอเรสต์ อีกด้วย เพราะสังเวียนแห่งนี้ เชื่อไหมครับว่า ลิเวอร์พูล ไม่ชนะมาตั้งแต่ปี 1985

ต่อให้ ลิเวอร์พูล จะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถบุกมาเอาชนะที่บ้าน ฟอเรสต์ ได้เลย ยาวนานมาแล้วเกือบๆ 40 ปี โดยซีซั่นก่อนในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็บุกมาแพ้ เจ้าป่า แบบเซอร์ไพรส์ 0-1 จากการยิงของ ไตโว อโวนิยี่ อดีตกองหน้า หงส์แดง สมัยเป็นเด็กอะคาเดมี่ นั่นเอง

จึงไม่แปลกเลยที่ว่า ทำไม ลิเวอร์พูล ถึงหืดจับมากขนาดนี้ พวกเขาเกือบจะโดนอาถรรพ์ ซิตี้ กราวน์ อีก 1 สมัย แต่ก็เป็น ดาร์วิน นูนเญซ ที่สามารถทำลายคำสาปของ ฟอเรสต์ ลงได้สำเร็จ นับเป็นประตูชัย ที่สำคัญในสำคัญจริงๆ

และ ไปรอลุ้นกันว่า สัปดาห์หน้าที่ ลิเวอร์พูล จะต้องเปิดถิ่นแอนฟิลด์ ต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเก็บชัยชนะได้หรือไม่ ซึ่ง 3 แต้มนัดนี้ จะเป็นตัวชี้วัดเลยว่า หงส์แดง จะมีเปอร์เซ็นต์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มากน้อยแค่ไหน !!

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline