logo-heading

แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้มีประเด็นกับพรีเมียร์ลีกแค่เรื่อง 115 กระทง แต่ล่าสุดยังต้องสู้กันอีก 1 เรื่องใหญ่ คือกฎควบคุมมูลค่าสปอนเซอร์ ซึ่งมีผลต่อการวางแผนซื้อนักเตะหลังจากนี้ด้วย

ที่ผ่านมาพรีเมียร์ลีกมีหน่วยงานอิสระดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว จุดประสงค์หลักคือกลัวสโมสรปลอมรายได้สปอนเซอร์ โดยเฉพาะเคสกระเป๋าซ้าย เข้ากระเป๋าขวา 

เช่น เจ้าของทีมฟุตบอลมีธุรกิจตัวเองอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นคนใหญ่คนโตของประเทศชาติ จากนั้นก็ให้บริษัทในเครือธุรกิจตัวเอง มาจ่ายเงินสนับสนุนสโมสรเวอร์ๆ อีกที

การจ่ายเวอร์ๆ มันช่วยให้บัญชีดูสวย แล้วพอมีรายได้มากขึ้น เวลาไปซื้อนักเตะแพงๆ มันก็จะมีความเสี่ยงผิดกฎการเงินน้อยลง เพราะโมเดลของกฎนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งยูฟ่า (FFP) หรือพรีเมียร์ลีก (PSR) มีหัวใจสำคัญคือ ถ้าคุณหาเงินได้เยอะ คุณก็ใช้จ่ายได้เยอะตาม

อย่างไรก็ตาม แม้พรีเมียร์ลีกจะมีหน่วยงานนี้ แต่ก็ไม่เคยเอามาบังคับใช้จริงจัง จนกระทั่งล่าสุดสื่อ The Times และ Athletic ยืนยันว่ากฎนี้บรรจุเข้าไปในคู่มือของพรีเมียร์ลีกแล้ว หลังจากนี้จะมีการตรวจสอบที่เข้มข้นแน่นอน ซึ่งถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็อาจมีบทลงโทษตามมาได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทีมที่ซวยสุดอาจจะเป็น แมนฯ ซิตี้ เพราะเจ้าของสโมสรคือท่านชีค มานซูร์ คนใหญ่คนโตจาก UAE และสปอนเซอร์ที่สนับสนุนซิตี้ตอนนี้ ก็มีหลายเจ้าที่มาจากอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ UAE นั่นเอง

ตามกฎเนี่ย ไม่ได้ห้ามบริษัทในประเทศเจ้าของสโมสร มาสนับสนุนทีมนะครับ แต่มันต้องมาแบบถูกต้อง ไม่ใช่ทริคกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา ซึ่งที่ผ่านมาซิตี้โดนตั้งข้อสังเกตนี้มาตลอด เช่น ยูฟ่าเคยพยายามแบนซิตี้จาก UCL ข้อหาใช้ทริคนี้ แต่สุดท้ายลงโทษไม่สำเร็จ เพราะอุทธรณ์ศาลกีฬาโลกผ่าน

หรือจะเป็นเรื่อง 115 คดีในปัจจุบัน ก็มาจากประเด็นนี้แหละครับ หลายฝ่ายเชื่อว่าตัวเลขสโมสรมันโอเวอร์แบบผิดปกติ จริงอยู่ว่าซิตี้ก็ประสบความสำเร็จด้วย ได้เงินจากการแข่งขันเยอะ แต่เงินจากสปอนเซอร์หรือรายได้เชิงพาณิชย์มันดูสูงกว่าปกติจริง

เช่น สปอนเซอร์หน้าอกเสื้อ เกณฑ์ในการจ่ายเงินเยอะหรือน้อย มันไม่ได้ดูแค่ความสำเร็จ แต่ต้องดูจากชื่อเสียงสโมสรด้วย ยกตัวอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต่อให้ผลงานระยะหลังไม่ดี แต่ก็ยังเรียกเงินตรงนี้ได้ถึงปีละ 47.5 ล้านปอนด์ หรือจะเป็นอาร์เซน่อลที่ขนาดไม่ได้แชมป์ลีกมา 20 ปี แต่ชื่อเสียงยังใหญ่โตเหมือนเดิม ก็เรียกเงินส่วนนี้ได้ปีละ 40 ล้านปอนด์

ของซิตี้อาจจะครองอังกฤษในยุคเป๊ปก็จริง ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา แต่การได้เงินจาก เอติฮัด ซึ่งเป็นสายการบินในอาบูดาบีปีละ 67.5 ล้านปอนด์ มันก็ทำพรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่าตั้งข้อสงสัยว่า มันเวอร์เกินไปหรือเปล่า?

ขนาดมาดริดที่มีชื่อเสียงอันดับ 1 ของโลก ได้แชมป์ยุโรปมากที่สุด ยังรับเงินจากสปอนเซอร์ปีละ 70 ล้านยูโร หรือ 59.5 ล้านปอนด์ น้อยกว่าซิตี้เสียอีก

เท่านั้นไม่พอ เมื่อไปกางดูรายชื่อผู้สนับสนุนซิตี้เนี่ย มีบริษัทจากอาบูดาบีเป็นพาร์ทเนอร์เพียบ ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน, บริษัทโทรคมนาคม, บริษัทด้านการท่องเที่ยว, บริษัทอสังหาริมทรัพย์, ธนาคาร, โรงพยาบาล และโรงแรม เบ็ดเสร็จแล้วมีประมาณ 7-8 เจ้าที่ยืนยันว่าอยู่ในเครืออาบูดาบี

ผลกระทบของกฎใหม่พรีเมียร์ลีก คือหลังจากนี้จะมาดูรายได้จากสปอนเซอร์เหล่านี้เข้มงวดขึ้น เช่น ใช้ทริคกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวาไหม? ถ้าใช่ ก็ไม่อนุมัติให้ผ่าน 

หรือถ้าสันนิษฐานว่าใช่ แต่หาหลักฐานตรงๆ ไม่ได้ ก็จะดูว่าบริษัทนั้นมีผลประกอบการเท่าไหร่? กำไรเท่าไหร่? เงินที่เอามาสนับสนุนทีมเนี่ย สมเหตุสมผลไหม?

ถ้าพรีเมียร์ลีกมองว่าตัวเลขมันโอเวอร์ไป ก็จะสร้างเพดานขึ้นมาใหม่ เช่น สปอนเซอร์ A อาจจะบอกว่าโอนเงินให้ซิตี้ปีละ 10 ล้านปอนด์ แต่พรีเมียร์ลีกมองว่ารายได้จริงๆ ไม่น่าจะจ่ายปีละ 10 ล้านปอนด์ไหว คงไหวแค่ปีละ 5 ล้านปอนด์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อให้สปอนเซอร์ A จะจ่ายเงินให้ซิตี้มากขนาดไหน? ก็จะลงบัญชีการเงินจริงๆ ได้ 5 ล้านปอนด์เท่านั้น

ถ้ายังพยายามลงบัญชีด้วยตัวเลขโอเวอร์ ก็จะโดนลงโทษ ซึ่งปัญหาหลังจากนี้ของซิตี้ก็คือ สมมุติว่าสปอนเซอร์บางราย โดนลิมิทรายได้ที่จะลงบัญชี มันก็เท่ากับว่า รายได้ของสโมสรจะน้อยลงไปด้วย 

แล้วพอรายได้น้อยลง ก็คงเอาเงินไปทุ่มนักเตะลำบาก เพราะต้องห่วงกฎการเงินมากขึ้น

กฎที่ออกมาใหม่ บางสื่ออาจจะบอกว่า นิวคาสเซิ่ล ก็ซวยเหมือนกัน เพราะสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อ ก็มาจากซาอุ ซึ่งเจ้าของสโมสรก็เป็นเจ้าชายซาอุพอดี แต่เอาจริงๆ ยังไม่ได้หนักเท่าซิตี้ครับ มันแค่ทำให้กระบวนการเซตทีมต้องใช้เวลามากขึ้น ต้องหาสปอนเซอร์ที่ตรงไปตรงมามากขึ้น 

ต่างกับซิตี้ที่เซตระบบไว้หมดแล้ว อาจจะต้องมาล้างบางใหม่หมดเลย แต่คาดว่ามันจะไม่จบง่ายๆ ข่าวเมื่อเดือนก่อนบอกว่า ซิตี้ไม่ยอมแน่นอน ถ้าโดนมัดมือชกแบบนี้ก็จะฟ้องกลับพรีเมียร์ลีกเหมือนกัน

จากสิ่งที่เกิดขึ้น หากใครคิดว่าพรีเมียร์ลีกเข้าข้างซิตี้ เลยยังไม่ตัดสิน 115 กระทงเสียที ผมอยากบอกว่าไม่ได้เข้าข้างแน่นอน เพราะ 115 กระทงเนี่ย ดีเทลมันเยอะและต้องใช้เวลาสืบสวนนานมาก แต่พวกเขาก็เร่งกระบวนการสุดๆ แล้ว จากตอนแรกจะได้ผลปี 2025 แต่ข่าวล่าสุดคือปีนี้ก็อาจทราบข้อสรุปเลย

ถ้าพรีเมียร์ลีกเข้าข้างซิตี้ พวกเขาคงไม่ตั้ง 115 กระทงมาตั้งแต่แรก และไม่พยายามออกกฎใหม่เพื่อแอนตี้การเงินซิตี้แบบนี้หรอกครับ 

- Petr Boat -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline