logo-heading

สถิติบอกว่าฤดูกาลนี้ ฟาน ไดค์ กลับมาร่างทองของแท้ พยายามเข้าปะทะ (Tackles) เกมลีกทั้งซีซั่น 33 ครั้ง โดนเลี้ยงผ่านแค่ 2 ครั้งเท่านั้น! ส่วนฤดูกาลก่อนฟอร์มตกหนัก โดนเลี้ยงผ่านไปถึง 11 ครั้ง 

หรือจะเป็นการชิงจังหวะดักบอล (Interception) ที่ตอนนี้ทำไปแล้ว 34 ครั้ง ขาดอีกแค่ 6 ครั้งจะทำสถิติเท่าปีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2019-20

ดูทรงแล้วน่าจะทำลายสถิติได้ด้วย เพราะพรีเมียร์ลีกเหลืออีกตั้ง 10 นัด ซึ่งฟานไดค์มีค่าเฉลี่ยดักบอลนัดละ 1.3 ครั้ง หากยังรักษามาตรฐานได้เหมือนเดิม บางทีอาจจบฤดูกาลด้วยการดักบอลเป็นสถิติใหม่ของตัวเอง

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมปีนี้ฟอร์มของ ฟาน ไดค์ กลับมาโหด? 

จริงอยู่ว่าเราก็ต้องให้เครดิตนักเตะด้วย ปีนี้ท็อปฟอร์มจริง เล่นแทบไม่พลาดเลย แถมมีจังหวะโชว์เวอร์เยอะจัด เช่นนัดล่าสุดที่ดวลกับ ฮาลันด์ ก็บีบให้เล่นยาก จนยิงไม่ถนัดและไปติดเซฟผู้รักษาประตู 

อย่างไรก็ตาม พอลองทบทวนสิ่งที่ดูลิเวอร์พูลมาทั้งซีซั่น ผมเชื่อว่าปีนี้ลิเวอร์พูลมีโครงสร้างที่ดีกว่าปีก่อนด้วย โดยเฉพาะตำแหน่งกลางรับ ปีก่อนฟาบินโญ่ฟอร์มตกหนัก ขาดคนสกรีนแดนกลาง จนบอลไปถึงแนวรับไวเกินไป

พูดง่ายๆ คือภาระตกไปอยู่กับกองหลังมากขึ้น สถิติบอกว่าฤดูกาลก่อน ฟาน ไดค์ ต้องบีบไปตัดบอลเองแดนกลางถึง 40% จากความพยายามเข้าปะทะทั้งหมด ซึ่งถือว่าเยอะมาก และเยอะสุดนับตั้งแต่ย้ายมาลิเวอร์พูลด้วย มันเป็นการบ่งบอกว่าตรงกลางแย่งบอลไม่ได้เลย ทำให้ VVD ต้องหลุดโซนตัวเองมาสกัดบอล

ทว่าฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลได้ วาตารุ เอ็นโด มาเสริมเกมรับ กลายเป็นว่าภาระของ ฟาน ไดค์ ลดลงแบบเห็นได้ชัด สถิติบอกว่าซีซั่นนี้บีบไปปะทะแดนกลางเหลือเพียง 25.8% ซึ่งมันใกล้เคียงกับปีคว้าอันดับ 2 บัลลงดอร์เลย ปีนั้นบีบไปตัดแดนกลางแค่ 28% เท่านั้น 

เอ็นโดมีสถิติเข้าปะทะต่อเกมอยู่ที่ 1.5 ครั้ง อาจไม่ได้เยอะมาก แต่เราต้องดูตำแหน่งที่เข้าปะทะสำเร็จด้วย ปรากฏว่า จำนวนบอลทั้งหมดที่เอ็นโดแย่งกลับมาได้ มาจากพื้นที่กลางสนามถึง 63.3% เรียกว่าโซนอื่นอาจไม่ได้เทพมาก แต่ถ้าเป็นโซนตัวเอง มักสอยคู่ต่อสู้ได้ค่อนข้างดี 

สถิตินัดล่าสุดที่เสมอซิตี้ นี่คือนัดที่ KDB เล่นได้ยากมากเพราะเอ็นโดท็อปฟอร์มเนี่ยแหละ เขาปะทะสำเร็จ 4 ครั้ง ชิงจังหวะดักบอล 2 ครั้ง และไม่โดนเลี้ยงผ่านแม้แต่หนเดียว! สำหรับผม เอ็นโด เป็นนักเตะประเภทที่คุณต้องโฟกัสฟุตบอลจริง ถึงจะเห็นภาพชัดว่าเขามีความสำคัญขนาดไหน

เขาไม่ใช่คนที่มีลีลาวิ่ง 5-10 เมตรเขาไปแย่งบอลเวอร์ๆ และไม่ใช่สายเน้นเทคนิคอ่านเกมคอยดักบอลแบบเท่ๆ คือไม่ใช่คนที่ท่าทางสวยงาม แต่ประสิทธิภาพได้ ซึ่งฟุตบอลมันก็วัดตรงนี้แหละ ต่อให้คุณสปีดไวแค่ไหน เข้าบอลหนักแค่ไหน แต่ถ้าคุณแย่งบอลไม่ได้ มันก็ไร้ประโยชน์ 

เอ็นโดไม่ได้ไว ไม่ได้ฮาร์ดแมนตัดฟาวล์หนัก แต่เขาแย่งบอลกลับมาได้ ประสิทธิผลได้ แค่นี้เป็นอันจบ ซึ่งถ้าลองตั้งใจดูแบบไม่ใส่อคติ คุณจะเข้าใจเลยว่าเอ็นโดสำคัญจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่านักเตะที่หลายคนสบประมาท จะเล่นได้ดีขนาดนี้

นี่คือปัจจัยที่เกื้อหนุนกัน กองหลังเทพ กลางรับสกรีนบอลดี แถมเป็นคนมีประสบการณ์ทั้งคู่ อายุแตะเลข 3 ทั้งคู่ มันก็ส่งผลดีต่อรุ่นน้องภายในทีมด้วย ถึงขั้นที่ แดนนี่ เมอร์ฟี่ อดีตมิดฟิลด์หงส์ออกมาบอกเลยว่า นัดชิงลีกคัพที่ชนะเชลซี ก็ได้ฟอร์มของ VVD แบกน้องๆ จนคว้าแชมป์ 

หรือจะเป็นนัดเสมอซิตี้ หากนับเกมรับทั้งหมด เคเลเฮอร์, โกเมซ, ควอนซาห์ และแบรดลี่ย์ ไม่มีใครเป็นตัวจริงเลย แต่พี่ใหญ่ VVD แบกน้องอีก 4 คนเองไว้ได้ ยังไงก็ต้องให้เครดิตแบบ 100%

ท้ายที่สุด อย่าลืมให้เครดิต JK นัดที่เสมอซิตี้ พยายามเซตแท็กติกให้ทีมรับมือเกมโต้กลับได้ดี หลายคนอาจไม่ปลื้มฟอร์ม โจ โกเมซ เท่าไหร่ แต่ถ้าดูเชิงแท็กติกล้วนๆ จะเข้าใจว่าทำไม JK ถึงเลือกท่านโจเป็นตัวจริง 

เวลาขึ้นเกมลิเวอร์พูลจะยืนหลัง 3 ควอนซาห์- ฟานไดค์-โกเมซ (ท่านโจหุบจากแบ็กซ้าย มาเป็นเซนเตอร์ตัวซ้าย) เพื่อเปิดทางให้แบรดลี่ย์ลอยสูงเหมือนเป็นปีก เรียกว่ายืนสูงเท่าดีอาซเลย ปรับไปเล่นหลัง 3 ตอนบุก

จากนั้น เอ็นโด กับ แม็คอัลลิสเตอร์ จะถอยต่ำมาช่วย 3 เซนเตอร์ขึ้นเกม ทำให้เวลาครองบอลมีนักเตะถึง 5 คนจากแดนหลังถึงกลาง ซึ่งเวลาเสียบอลแดนหน้า ก็จะรับมือกับเกมโต้กลับได้ดีขึ้น เพราะอย่างน้อยก็มี 5 คนอยู่ข้างหลัง ไม่ได้มีแค่ 3-4 คนให้หวาดเสียวเกินไป 

ลิเวอร์พูลอาจไม่ชนะนัดนี้ และเสียจ่าฝูงให้อาร์เซน่อล แต่ดูจนถึงตอนนี้สภาพจิตใจไม่แผ่วเลย มันคือปีที่สปิริตโคตรดี กุนซือเก่ง ตัวเก๋าฟอร์มดี ดาวรุ่งก็ช่วยรุ่นพี่เต็มที่

ถ้าเป็นแชมป์ คงเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับพวกเขา แต่ถ้าไม่สมหวังขึ้นมา ผมคิดว่าแฟนลิเวอร์พูลไม่ควรต้องเสียใจ เพราะสิ่งที่ทั้งทีมร่วมกันทำตอนนี้ ถือว่ามาไกลเกินคาดแล้ว

- Petr Boat -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline