logo-heading

สถานการณ์แย่งตัว ชาบี อลอนโซ่ ถือว่าสลับไปมาแบบคาดเดาได้ยาก แรกเริ่มลิเวอร์พูลเคยเต็งสุด เพราะการประกาศอำลาของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้สโมสรพร้อมคุยโค้ชใหม่ทันที 

จากนั้นบาเยิร์นทำตัวเองให้ชัดเหมือนกัน ด้วยการแยกทางกับทูเคิ่ลหลังจบฤดูกาล มันคือการปรับสถานะให้ไม่แพ้ลิเวอร์พูล นั่นคือจีบโค้ชใหม่ได้เลย แถมได้เปรียบเล็กน้อยด้วย เพราะทีมมีผู้บริหารครบเซต ไม่ต้องรอตั้งใครใหม่

ต่างกับลิเวอร์พูล นักข่าวเทียร์ 1 รายงานตลอดว่า ก่อนจะไปสู่สเต็ปการตั้งโค้ช พวกเขาต้องตั้งผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่เสียก่อน ซึ่งลิเวอร์พูลพยายามจีบให้ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ กลับมาทำตำแหน่งเดิมหลายรอบ แต่ก็ไม่ได้ผลเสียที

อย่างไรก็ตาม FSG ไม่ยอมแพ้ พวกเขามองว่าเอ็ดเวิร์ดส์คือคนที่ขาดไม่ได้ นี่คือคนสำคัญที่เคยดูแลโครงสร้างสโมสร จนประสบความสำเร็จได้แชมป์ UCL 2019 และพรีเมียร์ลีก 2019-20 ซึ่งเก่งแบบสุดๆ ในเรื่องตลาดนักเตะ 

เก่งแรกคือการใช้สถิติวิเคราะห์นักเตะ ไม่ต้องซื้อแพงก็เจ๋งขั้นเทพได้ เช่น แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายของฮัลล์ซิตี้ ที่แทบไม่มีใครมองเพราะทีมตกชั้น แต่ด้วยสถิติที่โดดเด่น ทีมเลยยอมฝ่าเสียงวิจารณ์เซ็นมาด้วยราคา 8 ล้านปอนด์ ซึ่งตอนนั้นอาจจะโดนตำหนิ แต่ตอนนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ร็อบโบ้กลายเป็นแข้งชั้นนำ

โม ซาลาห์ เองก็เช่นกัน ตอนนั้นคล็อปป์อยากได้ ยูเลี่ยน บรันด์ท มาร่วมทีมมากกว่า แต่เอ็ดเวิร์ดส์ติดตามฟอร์มบังโมนานมาก เช็กสถิติและพัฒนาการแบบหมดจด จนกล่อมให้ทีมซื้อมาจากโรม่าด้วยราคา 37 ล้านปอนด์ 

ตอนนั้น FSG มองว่าแพงด้วย และไม่มั่นใจเท่าไหร่ เพราะเคยไม่ปังกับเชลซี แต่ตอนนี้เราเห็นแล้วว่า ซาลาห์คือแข้งระดับโลก และน่าจะเป็นเบอร์ 1 ของทวีปแอฟริกายุคนี้ 

เก่งต่อมาคืองานขาย ลิเวอร์พูลฟันเงินจากคูตินโญ่ได้ 142 ล้านปอนด์ก็เพราะเอ็ดเวิร์ดส์เนี่ยแหละ ซึ่งนี่คือหนึ่งในดีลจุดเปลี่ยนของลิเวอร์พูลด้วย เพราะเงินค่าตัวคูตี้เอาไปต่อยอดกับ ฟานไดค์ และอลีสซง ที่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นตัวหลักของทีม

หรือจะเป็นดีล โดมินิค โซลันกี้ ที่ได้ตัวมาจากเชลซีเมื่อปี 2017 จ่ายค่าชดเชยไป 3 ล้านปอนด์ ก่อนจะขายให้บอร์นมัธด้วยราคา 19 ล้านปอนด์ กำไรแบบเห็นๆ แถมชอบใส่เงื่อนไขส่วนแบ่งการขาย หรือ Sell-on clause ไว้ในหลายดีลด้วย นั่นหมายความว่า หากนักเตะคนนั้นย้ายทีมอีกรอบ ลิเวอร์พูลก็จะได้เงินเพิ่มเติมด้วย

นี่คือคุณงามความดีที่เอ็ดเวิร์ดส์มอบให้ทีม ซึ่ง FSG ต้องเอากลับมาให้ได้ เลยเสนอตำแหน่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ท้าทายกว่าเดิม จนเอ็ดเวิร์ดส์ใจอ่อน ตอนแรกสื่อเชื่อว่าเป็น "หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการฟุตบอล" คือดูแลภาพรวมสโมสร แต่สุดท้ายมันยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะเขาได้ตำแหน่ง CEO ด้านฟุตบอลของ FSG ที่ขอบเขตมหาศาลมาก

อธิบายแบบเข้าใจง่าย ตำแหน่งเก่าของเอ็ดเวิร์ดส นับเป็นผู้บริหารระดับกลาง เขามีอำนาจสูงในสโมสรลิเวอร์พูล แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังมีผู้บริหาร FSG อีกหลายคนที่ใหญ่กว่า เพราะพวกเขาคือเจ้าของสโมสร และทำธุรกิจกีฬาหลายแห่ง ซึ่งลิเวอร์พูลคือหนึ่งในนั้น หรือจะเป็นทีมเบสบอลดัง บอสตัน เรด ซ็อกซ์ ก็มีเจ้าของเป็น FSG เช่นกัน 

ตำแหน่งใหม่ของเอ็ดเวิร์ดส์ จะยกระดับตัวเองไปเป็นผู้บริหารระดับสูงทันที เป็นผู้บริหารในเครือ FSG ไปเลย ซึ่งไอเดียของ FSG อยากเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลมากกว่า 1 แห่ง อยากทำระบบ Multi-Club เหมือนซิตี้ ที่มีเจ้าของคือกลุ่มซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป และมีสโมสรฟุตบอลในเครือเพียบ

ลิเวอร์พูลอยากเป็นแบบนั้น อยากมีสโมสรลูก เพื่อเพิ่มเครือข่ายสโมสร ส่งเด็กไปปั้นได้ คุมแท็กติกได้ คุมจำนวนนาทีลงเล่นได้ แล้วหวังเอากลับมาใช้หรือปั้นขายอีกที ดังนั้น หากในอนาคต FSG เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลมากกว่า 1 เอ็ดเวิร์ดส์จะเป็นคุมระบบของทุกทีมเลย แถมได้ค่าจ้างแพงด้วย รายงานจาก เจมส์ เพียร์ซ บอกว่าคงได้ค่าแรงปีละหลายล้านปอนด์ 

สมมุติว่าเป็นเจ้าของสัก 5 ทีม ผู้อำนวยการกีฬาของแต่ละสโมสร ก็จะต้องรายงานทุกอย่างให้เอ็ดเวิร์ดส์ทราบ เพราะนี่คือแม่ทัพใหญ่สุด หรือจะเป็นที่ลิเวอร์พูล ค่อนข้างชัวร์ว่าผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่คือ ริชาร์ด ฮิวจ์ส โดยจะดึงตัวมาจากบอร์นมัธ ซึ่งเวลาที่ฮิวจ์สมีเรื่องรายงานคนที่่ตำแหน่งสูงกว่า ก็ต้องแจ้งทางเอ็ดเวิร์ดส์นั่นเอง 

ผังโครงสร้างของ FSG มันก็จะเป็นดังนี้ เจ้าของใหญ่สุดคือ จอห์น ดับเบิลยู เฮ็นรี่ และทอม เวอร์เนอร์ ส่วนเฮดใหญ่รองลงมา คอยคุมโครงสร้างทีมฟุตบอลทั้งหมดคือเอ็ดเวิร์ดส์ และคนที่เฉพาะเจาะจงลิเวอร์พูลอีกทีคือฮิวจ์ส ทุกอย่างมันจะเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งในเมื่อทีมบริหารของลิเวอร์พูลชัดแบบนี้ สเต็ปต่อไปคือเร่งเครื่องอลอนโซ่

ลิเวอร์พูลไม่มีอะไรเป็นรองบาเยิร์นแล้ว สถานะโค้ชว่างเหมือนกัน ทีมบริหารเซตแล้วเหมือนกัน งานใหญ่สุดของเอ็ดเวิร์ดส์ที่ต้องร่วมมือกับฮิวจ์สคือชนะบาเยิร์นให้ได้ ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้คือ 50/50 แต่ก็นับว่าดี เพราะกระแสเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน สื่อเยอรมันตีข่าวเอียงไปทางบาเยิร์นเป็นต่อหมดเลย

ใครจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วน ผมไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะ 2 สัปดาห์ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้ ผมเข้าไปอ่านข่าวใน Sport Bild สื่อเยอรมัน (สมัครสมาชิกรายเดือนเอาไว้ อ่านข่าวเต็มได้หมด) เจอแต่คอลัมน์โหมอลอนโซ่เต็มที่ เอาสัมภาษณ์คนโน้น คนนี้มาลงเต็มไปหมด แต่พอสถานการณ์ลิเวอร์พูลเคลียร์เรื่องบอร์ดบริหาร กระแสใน Bild ลดลงแบบเห็นได้ชัด
 
ตอนนี้ Bild เล่นแต่ประเด็นนักเตะที่อาจย้ายออก, คอลัมน์ชื่นชมมิดฟิลด์อย่าง อเล็กซานดาร์ พาฟโลวิช หรือไม่ก็อนาคต โยชัว คิมมิช แทบไม่เจอข่าวเกี่ยวกับอลอนโซ่เลย กระแสเบาลงแบบเหลือเชื่อ 

นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 ประเด็นที่มองข้ามไม่ได้ คือสายสัมพันธ์ ตอนนี้ฮิวจ์สยังทำงานให้บอร์นมัธจนจบซีซั่น และกุนซือบอร์นมัธก็คือ อันโดนี่ อิราโอล่า มีเอเยนต์คนเดียวกับอลอนโซ่ ซึ่งสื่อบอกว่า ที่ผ่านมาเวลาฮิวจ์สดีลอะไรเรื่องอิราโอล่า ก็จะมีโอกาสได้คุยกับเอเยนต์เขาด้วย 

บางทีฮิวจ์สอาจใช้สายสัมพันธ์นี้ ในการคุยกับอลอนโซ่ให้ใกล้ชิดมากขึ้น ห้ามเมินประเด็นนี้เด็ดขาด อย่างไรก็ตาม สำหรับผมคือยัง 50/50 ต่างฝ่ายต่างก็มีหมัดเด็ด แต่หลังจากนี้มันน่าจะชัดขึ้น อลอนโซ่ต้องตัดสินใจแล้วว่า ในเมื่อตัวเองมีความทรงจำที่ดีกับ 2 สโมสรเหมือนกัน อลอนโซ่จะอยากทำงานกับใคร?

ลุยกับบาเยิร์นที่มี คริสตอฟ ฟรอยด์ กับ มักซ์ เอเบิร์ล หรือจะลุยกับลิเวอร์พูลที่มี ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ กับ ริชาร์ด ฮิวจ์ส ต่างฝ่ายต่างเป็นตัวท็อปด้วยกันทั้งคู่ ศึกนี้แย่งตัวกันเดือดต่ออีกยาวแน่ 

ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครจะชนะ แต่ถ้าเป็นลิเวอร์พูลเข้าวิน โดยมีอลอนโซ่เป็นโค้ชใหม่ และมีเอ็ดเวิร์ดส์กลับมาทำงานด้วยตำแหน่งใหญ่กว่าเดิม มันคงเยียวยาจิตใจเด็กหงส์จากการเสีย JK ได้ไม่มากก็น้อย

- Petr Boat - 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline