logo-heading

อย่างแรกที่ต้องคุยคือฟอร์เมชั่น ทุกคนทราบว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นแผนหลัง 4 มาตลอด ซึ่งตอนที่ลิเวอร์พูลสนใจอลอนโซ่ ก็มีเครื่องหมายคำถามเหมือนกันว่า อลอนโซ่ที่ถนัดหลัง 3 จะเหมาะคุมไหม?

ประเด็นนี้จะเกิดขึ้นแน่ถ้าเป็น รูเบน อโมริม เพราะเขาเล่นแผน 3-4-3 มาตั้งแต่ฤดูกาล 2019-20 เรียกว่าคุมบราก้าก็แผนนี้ พอย้ายมาคุมลิสบอนก็แผนนี้ ซึ่งโค้ชก็มีหลายประเภท บางคนก็สร้างทีมแบบฟิกซ์ตายตัว นักเตะต้องเล่นตามแผนโค้ชให้ได้ ส่วนบางคนก็เลือกแผนจากนักเตะที่มี

ยกตัวอย่างโค้ชที่ยืดหยุ่นคือ แม็กซ์ อัลเลกรี ช่วงที่ฟอร์มเทพเขาพายูเว่โหดได้ทั้งหลัง 3 และ 4 ส่วนคนที่เป็นสไตล์ฟิกซ์ชัดเจนคือคอนเต้ ไม่ว่าจะคุมยูเวนตุส, อิตาลี, เชลซี, อินเตอร์ หรือสเปอร์ส เล่นหลัง 3 ทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ได้มีสไตล์ไหนที่ผิดนะครับ อยู่ที่ความถนัดมากกว่า คว้าแชมป์เยอะด้วยกันทั้งคู่

อโมริมดูจะเป็นทรงแบบคอนเต้ ไม่รู้ว่าจะปรับในอนาคตได้ไหม? อันนี้เป็นโจทย์ที่ต้องดูกันต่อ ส่วนเดแซร์บี้เล่นได้ 2 แบบ แผนหลักจะเน้นหลัง 4 แต่ก็ปรับไปยืนหลัง 3 บางนัดได้ ซึ่งถ้าวัดที่ฟอร์เมชั่นเพรียวๆ เดแซร์บี้จะมีแต้มต่อที่ดี แต่ยังไม่ได้หมายความว่าเขาคล้าย JK มากกว่า

ของแบบนี้ต้องลงลึกที่สไตล์การเล่นด้วย โดยผมจะแบ่งเป็น 2 พาร์ทคือเกมรุกและเกมรับ 

JK คุมหงส์มีสถิติครองบอลเฉลี่ย 60.1% รั้งอันดับ 4 พรีเมียร์ลีก, อโมริมครองบอลเฉลี่ย 58.6% อันดับ 4 ลีกโปรตุเกส และเดแซร์บี้ครองบอลเฉลี่ย 62.9% อันดับ 2 พรีเมียร์ลีก ซึ่งส่วนนี้ยังเห็นภาพไม่ชัด

อันที่ชัดคือการส่งบอล เดแซร์บี้ดูมีความเป็นสายคอนโทรลมากกว่า เพราะทีมมีสถิติส่งบอลสั้นแม่นยำเฉลี่ยนัดละ 558.5 ครั้ง มีแค่ซิตี้ที่ส่งบอลสั้นต่อเกมมากกว่า ส่วนลิเวอร์พูลของ JK สถิติคือ 466.5 ครั้ง และอโมริมเฉลี่ย 425.6 ครั้ง 

อโมริมและ JK มีความคล้ายกันตรงที่ เป็นฟุตบอลบุกเหมือนกัน แต่ไม่ได้เน้นบอลสั้นอย่างเดียว มีผสมลูกไดเรคต์เข้ามาด้วย จนนำไปสู่การทำประตูแบบสวนกลับหลายครั้ง ซึ่งสถิติบอกว่า อโมริมพาทีมยิงประตูจากจังหวะแบบนี้ไป 5 ครั้ง, JK 6 ครั้ง ขณะที่เดแซร์บี้ 1 ครั้งเท่านั้น 

ถ้าให้เปรียบแบบเห็นภาพ เกมรุกอโมริมดูคล้าย JK มากกว่าเดแซร์บี้ ซึ่งถ้าจะเทียบสไตล์เกมรุกแบบเดแซร์บี้ น่าจะต้องไปวัดสถิติกับ เป๊ป หรืออาร์เตต้ามากกว่า 

ส่วนเกมรับ ขอยกตัวสถิติชื่อ PPDA เกณฑ์ในการวัดก็คือ ฟุตบอลจะแบ่งโซนออกเป็น 3 ส่วน แดนตัวเอง, แดนกลางสนาม และแดนฝั่งตรงข้าม PPDA จะนับเฉพาะ 2 อันหลัง ไม่นับการเพรสซิ่งแดนตัวเอง 

จากนั้นมาดูกันว่า ทุกการผ่านบอลกี่ครั้งของฝั่งตรงข้าม จะมีนักเตะของเราเข้าไปพยายามแย่งบอล ยิ่งตัวเลข PPDA น้อยเท่าไหร่ ยิ่งบ่งบอกว่า ทีมนั้นไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ครองบอลเลย พยายามเพรสเร็วทุกที 

สถิติบอกว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ มีความเข้มข้นตรงนี้สูงมาก ตัวเลขเลยออกมาที่ 8.9 หรือทุกการส่งบอล 8.9 ครั้งของฝั่งตรงข้าม จะต้องมีนักเตะลิเวอร์พูลไปแย่งบอล ส่วนสถิติของเดแซร์บี้คือ 10.5 และอโมริม 11.0 

เดแซร์บี้เพรสซิ่งมากกว่าเล็กน้อย แต่ทั้งคู่ก็ห่างจาก JK พอสมควร ดังนั้น เกมรับในเรื่องการเพรสซิ่งต้องสรุปว่า ไม่ได้มีใครเหมือน JK 100% ซึ่งจริงๆ แล้วสถิติพวกนี้ก็คลาดเคลื่อนได้ เพราะแต่ละลีกก็เล่นไม่เหมือนกันด้วย 

ดูจนถึงตอนนี้ ถ้านับแค่ฟอร์เมชั่น ผมคิดว่าเดแซร์บี้คล้ายกว่า ส่วนสไตล์การเล่น แม้เกมรับจะไม่มีใครเหมือนเป๊ะ แต่แนวทางการบุกอโมริมดูคล้ายกว่าชัดเจน ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องดูว่า ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ และริชาร์ด ฮิวจ์ส จะเลือกใคร?

รายงานจาก SkySports บอกว่า ฮิวจ์สค่อนข้างชอบเดแซร์บี้ ส่วนในเชิงเรตติ้ง ที่ทีมวิเคราะห์ลิเวอร์พูลคิดสูตรเอาไว้ อโมริมดูจะได้แต้มที่น่าพอใจกว่าเล็กน้อย 

อันที่จริงมีอีกปัจจัยที่ไม่อยากให้มองข้าม คือประสบการณ์ ซึ่งตอนนี้อโมริมดูขาขึ้นมากกว่า ฟอร์มดีกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามีประสบการณ์แค่ลีกโปรตุเกส มันยังตอบได้ยาก ว่ามาอังกฤษจะเป็นแบบไหน? จะเป็นแบบมูรินโญ่ที่เทพไปเลย หรือจะเป็นแบบโบอาสที่ไม่ปัง

ในทางกลับกัน เดแซร์บี้เคยคุมมาแล้วทั้งอิตาลี, ยูเครน และมีประสบการณ์ในอังกฤษ ซึ่งปีนี้อาจจะฟอร์มตกไปหน่อย บางนัดก็แพ้แบบขาดลอย แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องเล่นบอลยุโรป ตัวเจ็บมหาศาลจนขุมกำลังเชิงลึกไม่พอด้วย 

เคสนี้ถือว่าเลือกยากจริง ซึ่งตามหลักการเลือกโค้ชเนี่ย ต้องละเอียดที่สุดอยู่แล้ว เพราะถ้าติดกระดุมพลาดเม็ดเดียว มันอาจจะพังหมดเลย แล้วยิ่งเป็นการเลือกคนมาสานงานต่อ JK ยิ่งต้องละเอียดกว่าเดิม

หากเลือกถูก ลิเวอร์พูลก็อาจซิ่งต่อได้ เพราะคล็อปป์ก็เปลี่ยนถ่ายชุดใหม่ไว้ให้เยอะ แต่ถ้าเลือกผิดขึ้นมา จงอย่ามองข้ามโอกาสที่ลิเวอร์พูลจะกลับไปสนใจอลอนโซ่ใหม่ในปี 2025

- Petr Boat - 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline