logo-heading

หลังเกม ! แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดรังเสมอรองบ๊วย เบิร์นลีย์ 1-1

หลังจากเกมที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งเอาชนะทีมบ๊วยอย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มาได้ 4-2 แต่ทว่าเกมวันนี้เหมือนกลับเข้าสู่ลูปเดิมอีกครั้ง ด้วยการเปิดบ้านเสมอทีมรองบ๊วยอย่าง เบิร์นลีย์ 1-1 แบบน่าเจ็บใจ ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ตามจี้ตูดเหลือเพียง 1 คะแนนเท่านั้น เอาเป็นว่าเกมนี้จะมีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้างมาดูกันครับ

[ สูสีกว่าที่คิด ]

หากไม่ได้ดูชื่อทีมคงไม่มีใครหรอกครัยเชื่อว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เจอกับทีมรองบ๊วยอย่าง เบิร์นลีย์ เพราะรูปเกมที่ออกมามันดูสูสีเหลือเกิน แม้ว่าช่วง 20 นาทีแรกจะเป็นทางฝั่ง ปีศาจแดง ที่คุมเกมได้มากกว่า แต่ทำไปทำมาก็กลับมาสู่อิหรอบเดิมซะอย่างงั้น

เพราะหลังจากผ่าน 20 นาทีแรก เบิร์นลีย์ ก็เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้ เริ่มมีโอกาสง้างประตูมากขึ้น รวมถึงจังหวะจบก็ดูได้น้ำได้เนื้อกว่าฝั่งเจ้าบ้านเสียอีก ทำเอานายด่านอย่าง โอนาน่า ต้องออกแรงซูเปอร์เซฟอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยความเฉียบคมของทั้งคู่ทำให้เกมในครึ่งแรกจบลงแบบไร้สกอร์

โดยรวมแล้วถือว่าเป็นอะไรที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งสำหรับ เอริค เทน ฮาก เพราะในเมื่อคุณเจอทีมรองบ๊วยอย่าง เบิร์นลีย์ ที่ศักยภาพนักเตะด้อยกว่าหลายขุม อีกทั้งยังเล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด นี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะคว้า 3 แต้มได้แบบสบายๆ แต่กลับปล่อยให้ทีมรองบ๊วยกระหน่ำบุกใส่เป็นระลอก 

ซึ่งสถิติของ เบิร์นลีย์ เฉลี่ยทั้งฤดูกาล พวกเขาจะมีโอกาสยิงประตูใส่คู่แข่งอยู่ที่ 3.6 ครั้งต่อเกมเท่านั้น แต่นับเฉพาะเกมวันนี้ในครึ่งแรก เบิร์นลีย์ มีโอกาสง้างประตูใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปถึง 9 ครั้ง เรียกได้ว่าเยอะกว่าค่าเฉลี่ยเกือบๆสามเท่าเลยทีเดียว

[ อันโตนี่ ยิงประตูแล้ว ]

ส่วนในครึ่งหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ถือทำได้ดีกว่าครึ่งแรก มีโอกาสยิงประตูมากขึ้น แต่ด้วยความสากกะเบือของนักเตะ แมนยู กลับปล่อยโอกาสหลุดลอย ยิงทิ้งยิงขว้าง ยิงนกตกปลากันไปหมด

แต่จนแล้วจนรอด อันโตนี่ เดอะหมุน ก็มาสวมบทฮีโร่ยิงประตูขึ้นนำให้กับ ปีศาจแดง และนี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อยสำหรับ ปีกชาวบราซิลรายนี้ ที่เบิกประตูแรกของตัวเองใน พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ หลังจากตีดบอดมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว เรียกได้ว่าสากมานานนับปี

[ ไม่เคยเรียนรู้จากข้อผิดพลาด ]

หลังจากที่เจ้าบ้านเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน เบิร์นลีย์ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างเต็มกำลัง เพราะถ้าพวกเขากลับบ้านไปแบบไร้แต้มหละก็ โอกาสตกชั้นก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีกเท่าตัว

จนเวลาล่วงเลยไปได้ไม่ถึง 10 นาที อังเดร โอนาน่า ที่โชว์ฟอร์มได้ไฉไลมาตลอดทั้งเกมได้ชกเข้าไปที่เบ้าหน้าของนักเตะ เบิร์ลีย์ เต็มๆ ซึ่งจังหวะดังกล่าวก็โทษ โอนาน่า ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะ กาเซมิโร่ ดันโชว์เก๋ากะโหม่งคืนโกลแต่น้ำหนักดันไม่ได้ ทำให้ แมนยู ต้องมาเสียจุดโทษในช่วงท้ายเกมอีกครั้ง

แล้วก็เป็น เซกี้ อัมดูนี่ สังหารเข้าไปไม่พลาด จบเกมด้วยสกอร์ 1-1 แบ่งแต้มกันไป จากที่ 3 แต้มอยู่ในมือของตัวเองแล้วแท้ๆ แต่กลับปล่อยมันหลุดมือไปอีกครั้ง กลายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนหนังม้วนเดิมกลับมาฉายใหม่ ซึ่งปัญหาเสียประตูท้ายเกมก็แก้ไม่หายสักที

การเสียจุดโทษในเกมนี้ทำให้ แมนยู เสียจุดโทษไปแล้ว 5 ลูกจาก 6 นัดหลังสุด สถิติมันบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ เอริค เทน ฮาก ไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย

[ ไม่เหมาะสมกับ แชมเปี้ยนส์ลีก ]

จากปัญหาทั้งหลายทั้งปวงทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ห่างไกลเหลือเกินกับอันดับท็อปโฟร์ จากเดิมที่ เทน ฮาก เคยให้สัมภาษณ์ว่า หอมกลิ่นอันดับท็อปโฟร์ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่ฝุ่งผง

การตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยอันดับบ๊วยของตาราง รวมถึงผลงานในลีคที่ห่วยแตกเกินกว่าที่แฟนผีจะรับได้ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เอริค เทน ฮาก ไม่ได้มีคุณสมบัติมากพอที่จะพา ทัพปีศาจแดง หวนคืนสู่ความยิ่งแบบครั้งในอดีต

แน่นอนว่าหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ มีเปอร์เซ็นสูงมากที่ เทน ฮาก จะถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือของ แมนยู แม้จะคว้าถ้วย เอฟเอ คัพ ได้ก็ตาม เพราะถ้าเราดู แมนยู ทุกเกมจะเห็นได้เลยว่าการทำทีมแบบนี้ ด้วยวิธีการเล่นแบบนี้มันยากเหลือเกินที่จะพา เรด เดวิลส์ กลับคืนสู่บัลลังค์แชมป์แบบที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

-บีเบลล์ กูนเนอร์-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline