ตกเก้าอี้ไปเป็นรายเป็นคนที่ 12 ของ “โตโยต้า ไทยลีก 2018” เรียบร้อยแล้ว สำหรับ “อัลเฟรด” เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ อดีตกองหน้าทีมชาติไทยที่เพิ่งทำทีม ราชนาวี ได้แค่ 4 นัด !!!
เอาตรงๆ คือไม่น่าแปลกใจอะไรหรอกครับ ตอนที่เป็นข่าว
“ตะหานน้ำ” ตั้ง
“อัลเฟรด” ทำทีม หลายคนก็ไม่เชื่ออยู่แล้วว่าจะรอดยืนยาวไปจนกระทั่งจบฤดูกาล
สมัยนักเตะ “อัลเฟรด” เป็นกองหน้าทีมชาติไทยนามกระเดื่อง การเข้าฮอสไม่มีใครเทียบ แต่บทบาทการเป็น
“กุนซือ” ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ว่าฝีไม้ลายมือขนาดไหน
หลังเลิกเล่นฟุตบอลแบบยังไม่ทันแก่
“อัลเฟรด” ไปเอาดีทางด้านกอล์ฟถึงขั้นเป็น
“โปร” แต่ยังไม่ได้เข้าแข่งทัวร์
“อัลเฟรด” เป็นนักกีฬาสไตล์เกินร้อยอยู่แล้ว ขึ้นชื่อในเรื่องความมุ่งมั่นเต็มพิกัด จึงไม่แปลกที่ไปเอาดีทางกอล์ฟก็สามารถไปได้สวย
ชื่อของ
“อัลเฟรด” กลับมามีโผล่ในวงการฟุตบอลอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การคัมแบ็กครั้งแรกคือสตาฟฟ์โค้ชทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี
จากนั้น “อัลเฟรด” เริ่มลุยงานโค้ชมาเรื่อยๆจนมีดีกรีระดับ
“บี ไลเซนส์” กระทั่งไปรับงานคุมทีมสโมสรกับ
“กาฬสินธ์” ทีมในไทยลีก 3 ฤดูกาลนี้
“อัลเฟรด” คุมทีมได้ 8 นัด ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 4 ก่อนจะลาออกด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวระบุว่า “นำเอาระบบโครงสร้างฟุตบอลอาชีพไปใช้ แต่ถูกต่อต้าน”
หลังโบกมือลาถิ่นอีสานไม่นาน “อัลเฟรด” ได้รับงานใหม่ด้วยการคุมทีม
“ตะหานน้ำ” ในลีกสูงสุด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ตามมามากมาย โดยเฉพาะคำถามที่ว่า ไหวหรือไม่ไหว?
ที่สุดแล้วพอคุมทีมแค่ 4 นัด เสมอ 1 แพ้ 3 เสมอ แอร์ฟอร์ซ 1-1 บุกแพ้ ทรู แบงค็อกฯ 2-5 พ่ายคารังต่อ นครราชสีมา 1-3 และล่าสุดไปโดน ประจวบ ถล่ม 5-0 “อัลเฟรด” ก็ต้องบ๊ายบาย
อย่างที่บอกครับว่าจริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลย ถือว่าเป็นไปตามคาดอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่า “อัลเฟรด” จะไม่มีฝีมือเลยนะครับ
การมาของ “อัลเฟรด” ทำให้เกมรุกของ ราชนาวี ดูดีขึ้น สไตล์ทีมเป็นไปตามสไตล์โค้ช โค้ชเป็นนักเตะกองหน้ามาก่อนเวลามาทำทีมจึงเน้นรุกเป็นพิเศษ
เสียงจากนักบอลเล่าว่าการฝึกซ้อมจะเน้นที่การเข้าทำเป็นหลัก เกมบุกของ “ตะหานน้ำ” จึงดูดีมากขึ้น แต่ที่เป็นปัญหาคือเกมรับ ผลการแข่งขันจึงออกมาดั่งที่เห็น
นอกเหนือจากเรื่องของฟุตบอลล้วนๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่หลายคนจับตามองคือสไตล์ของ “อัลเฟรด” ที่เข้มทุกกระเบียดนิ้ว นั้นหมายถึงความเป็น
“อาชีพ” ทั้งในและนอกสนาม
ตั้งแต่ “อัลเฟรด” เข้าไปทำทีมเริ่มมีข่าวว่านักเตะปรับตัวไม่ได้มาตลอด นักเตะบางคนที่เป็นตัวหลักเริ่มหายไป บางคนถูกเปลี่ยนลงสนามไม่กี่นาทีก็ถูกเปลี่ยนออก
เมื่อหลายๆ อย่างมารวมกันแล้วผลงานที่ออกมาดันไม่ดีอย่างที่คาดหวัง นั่นจึงเป็นที่มาของการแยกทางกันในที่สุดของ “อัลเฟรด” กับ ราชนาวี
หากไม่นับกุนซือขัดตาทัพที่ขึ้นไปทำหน้าที่แบบรักษาการณ์ “อัลเฟรด” ถือเป็นกุนซือคนที่ 12 ของไทยลีกที่อยู่ไม่รอดจนจบฤดูกาล
ส่วน ราชนาวี ถือเป็นการเปลี่ยนโค้ชคนที่ 3 แล้ว จาก “
โค้ชมะ” วิริยะ เผ่าพันธุ์ มาเป็น
“โค้ชบลู” ชำนาญ แพรขุนทด และล่าสุดคือ
“อัลเฟรด”
น่าสนใจว่าจากนี้ “ตะหานน้ำ” จะเอาไงต่อ ดูแล้วปัญหาของไม่ได้อยู่ที่โค้ช แต่น่าจะอยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า
ตอน “โค้ชมะ” ทำแม้ผลงานจะไม่ดีแต่ก็ตามสภาพการลงทุนและคุณภาพผู้เล่น แถมยังไม่หล่นโซนตกชั้นด้วย แต่หลังจากเปลี่ยนโค้ชอีก 6 เกมต่อมาเก็บได้แค่แต้มเดียว !!!
สถานการณ์ของ ราชนาวี ยามนี้จึงกลายเป็น 1 ในทีม
“เต็งตกชั้น” แบบปฏิเสธไม่ได้ แฟนๆ “ตะหานน้ำ” คงต้องตามลุ้นกันละว่าจะแก้วิกฤตให้อยู่รอดในลีกสูงสุดได้หรือเปล่า
ว่ากันว่าหากยอมเสียฟอร์มเรียก
“โค้ชมะ” กลับมาทำทีมใหม่อาจพอมีลุ้น เพราะทำมาตั้งแต่ปรีซีซั่น รู้จักทีมดี ได้ใจนักบอลด้วย ตอนที่ทำอยู่ผลงานก็ใช่ว่าจะแย่
ตรงนี้เป็นเรื่องที่สโมสรจะต้องตัดสินใจจัดการแก้ไข แต่ถ้า ราชนาวี ยังเป็นเหมือนบางทีมที่มัก “เกาไม่ถูกที่คัน” ก็เห็นทีจะ “รอดยาก” !!!
“บับเบิ้ล”