logo-heading

และแล้วทีมชาติไทย ก็ต้องหยุดเส้นทางของฟุตบอลโลก 2026 ไว้ที่รอบคัดเลือก รอบสอง หลังไม่สามารถเอาชนะสิงคโปร์ ได้ตามสกอร์ที่ต้องการ และเราเองตกรอบนี้เพราะเฮดทูเฮดแพ้จีน ซะอย่างนั้น 

ผลงานของทีมชาติไทยในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบสองนี้ 6 นัด ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 2 ยิงได้ 9 เสีย 9 เท่ากับทีมชาติจีน ทุกอย่าง ดังนั้นต้องมาวัดเฮดทูเฮดเพื่อตัดสินหาทีมเข้ารอบ ซึ่งเราแพ้คาบ้านมา 1-2 และบุกไปทำได้แค่เสมอที่เสิ่นหยาง 1-1 เฮดทูเฮดเราจึงเป็นรอง 

ซึ่งถ้าเมื่อวานนี้เรายิงเพิ่มได้อีกแค่ประตูเดียว สถานการณ์ทุกอย่างมันก็จะเปลี่ยนไป แต่ฟุตบอลมันจบไปแล้ว บอกได้แต่เพียงว่าเราทำดีแล้ว แต่มันยังดีไม่พอเท่านั้นเอง

เรื่องของฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ที่จบไปก็คงจะไม่ต้องไปพูดอะไรเยอะ เพราะมันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับทีมชาติไทย อีกแล้ว หลังจากนี้เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป และนำข้อผิดพลาด บทเรียนต่างๆ มาแก้ไขปรับปรุงให้มันดีขึ้น ยกระดับมาตรฐานการเล่นของเราให้สูงขึ้น สักวันนึงมันต้องเป็นวันของเรา ถ้าเราทำกันอย่างจริงจัง

ส่วนฟุตบอลโลก เราก็มาว่ากันใหม่กับ 4 ปีข้างหน้า ในฟุตบอลโลก 2030 หวังว่าเราจะไปได้ไกลกว่าในครั้งนี้

สำหรับทีมชาติไทยหลังจากนี้ก็คงจะไม่มีรายการใหญ่อะไรให้ลงแข่งขัน จะมีก็แต่โปรแกรมฟีฟ่าเดย์ในช่วงเดือนกันยายน ที่ทีมเข้ารอบ 3 เขาจะเตะคัดเลือกบอลโลกกันต่อ ส่วนเราก็คงต้องหาทีมอุ่นเครื่องกันไป

และมีความเป็นไปได้ว่าฟีฟ่าเดย์เดือนกันยายนนี้ น่าจะนำมาจัดเป็นฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ส่วนจะไปจัดที่ไหนอย่างไร เชิญทีมอะไรมาเตะบ้าง คงต้องรอลุ้นกัน

จากนั้นก็จะมีฟีฟ่าเดย์อีกครั้งเดือนตุลาคม ซึ่งทีมอื่นๆ เขาก็เตะคัดบอลโลกกัน ส่วนเราก็ต้องเตรียมตัวสำหรับทัวร์นาเม้นท์ระดับภูมิภาคอย่างฟุตบอลอาเซียน คัพ ที่จะแข่งขันกันในช่วงปลายปีนี้ เดือน พ.ย.เป็นต้นไป

ซึ่งฟุตบอลอาเซียน คัพ เราคือแชมป์เก่า 2 สมัยติด แน่นอนว่าเป้าหมายในอาเซียน คัพ ครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นการป้องกันแชมป์เอาไว้ให้ได้ เพื่อเป็นการลบภาพความผิดหวังจากฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก

เรื่องเป้าหมายจะเป็นแชมป์จริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจเท่ากับเราจะเอาชุดไหนไปเล่น จะเอาชุดใหญ่แบบไฟกระพริบไปเลยไหม หรือเราจะถ่ายสายเลือดใหม่เตรียมทีมเพื่ออนาคต อันนี้ก็เป็นโจทย์ที่ต้องไปคิดอ่านกันทั้งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ มาซาทาดะ อิชิอิ

แต่ถ้าดูจากทิศทางของเซนเซอิชิอิ แล้ว ก็เหมือนเจ้าตัวพยายามจะสร้างทีมชาติไทยขึ้นมาใหม่ โดยใช่นักเตะพลังหนุ่มเป็นแกนหลัก ซึ่งจริงๆ มันก็ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนถ่ายเสียที แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันยังมีนักเตะซีเนียร์บางคนที่เราก็ยังต้องการประสบการณ์ และความสามารถเพื่อมาช่วยแบกทีมอยู่ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกที่ผ่านมา เพราะลำพังจะเอาหมดเลยก็คงไม่ไหว

แต่สำหรับในอาเซียน คัพ ครั้งนี้ผมว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้พักนักเตะตัวเก๋าๆ ซึ่งจริงๆ ถ้าไปถามนักเตะเหล่านี้ก็คงไม่ซีเรียสกับฟุตบอลอาเซียนแล้ว อย่าง ธีราทร เองก็ประกาศตั้งแต่สองปีที่แล้วว่าคงจะไม่เล่น, ชนาธิป เองสภาพร่างกายก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน, ธีรศิลป์ ก็คงจะอยากพักมากกว่าไปเล่น มันจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะลองนักเตะใหม่ๆ หรือการเรียกตัวที่ยังไม่เคยใช้งานในยุคของเซนเซ ได้มาลองดู

อย่าง กวินทร์ แม้อายุจะเยอะ แต่เรียกกลับมาในอาเซียน คัพ ก็ไม่เสียหาย อย่างน้อยก็มาเป็นรุ่นใหญ่กัปตันทีมประคองน้องๆ นักเตะอย่าง โจนาธาร เข็มดี ที่น่าจะถึงเวลาของเจ้าตัวกับทีมชาติไทย ชุดใหญ่เสียที, กองกลางอาจจะเรียก ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร กลับมาลองดู กองหน้าเราก็มีนักเตะใหม่อย่าง ปรเมศย์ อาจวิไล และ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ที่รอโอกาส ผมว่านักเตะเหล่านี้ เอาอยู่ในอาเซียน คัพ อย่างน้อยก็มีลุ้นเข้าชิง

แต่ก็ไม่รู้ว่านายกสมาคมฯ รวมทั้งสภากรรมการจะคิดแบบนั้นหรือเปล่า เพราะล่าสุดก็มีการวางแผนเรื่องโปรแกรมฟุตบอลลีก กับฟุตบอลอาเซียน คัพ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการเรียกตัว นี่ก็บ่งบอกได้อย่างนึงว่า พี่ไทยเอาจริงแน่นอน และยิ่งเป็นอาเซียน คัพ สมัยแรกของ “นายกแป้ง” ด้วย

 

 

จากนี้ก็รอดูทิศทางของสมาคมฯ รวมทั้งแผนการทำทีมของ อิชิอิ ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรกับทีมชาติไทย ซึ่งรายการใหญ่ครั้งต่อไปก็คือ ฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก ที่จะเตะกันอีกทีปีหน้า ค่อยมาว่ากันใหม่ตรงนั้น

สุดท้ายก็เอาใจช่วยและตามเชียร์ทีมช้างศึกกันต่อไป ฟุตบอลโลกครั้งนี้จบแล้ว ก็มาว่ากันใหม่ 4 ปีข้างหน้า ส่วนปลายปีนี้ก็รอเชียร์ทีมชาติไทย ป้องกันแชมป์อาเซียน คัพ ให้ได้อีกสมัยก็แล้วกันครับผม!!
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline