logo-heading

อีกไม่กี่วันข้างหน้า เกมนัดกระชับมิตร ประลองยุทธลูกหนัง ระหว่าง ทีมชาติไทย กับ ทีมชาติจีน จะระเบิดขึ้น ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2561

ทัพช้างศึก ภายใต้การคุมทัพของ มิโลวาน ราเยวัช ได้ร่วมฝึกซ้อมกันมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา โดยเพิ่งฟูลทีมครบชุด 26 นักเตะ เมื่อเช้านี้ หลังจาก ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพลย์เมกเกอร์ร่างเล็กจาก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร เสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัว เป็นเกมที่สำคัญอย่างยิ่ง แม้จะเป็นแค่อุ่นเครื่อง เนื่องจากเป็นเกมระดับ A-Match ของฟีฟ่า ที่มีการคิดผลการแข่งขัน และมีคะแนนแรงกิ้งฟีฟ่ารองรับ โดยปัจจุบัน ทีมชาติไทย อยู่ในอันดับที่ 122 ของโลก และอันดับที่ 24 ของเอเชีย ส่วนทีมชาติจีนนั้น อยู่อันดับ 73 ของโลก และอันดับที่ 6 ของทวีปเอเชีย การมีอันดับห่างกันกว่า 50 แรงกิ้ง ทำให้ผลการแข่งขันไม่ว่าจะชนะ เสมอ หรือ แพ้ ช่างแตกต่างกันยิ่งนักในเรื่องของคะแนนฟีฟ่า ฉะนั้น การซ้อมสามมื้อสุดท้ายก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ ราเยวัช ต้องเคี่ยวเข็ญลูกทีมสุดๆ เพื่อผลการแข่งขันที่ต้องการ และเป็นการเตรียมทีมเพื่อ เอเชี่ยนคัพ 2019 ไปในตัวอีกด้วย นอกเหนือจากผลการแข่งขันที่เป็นใจแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นจากเกมนัดนี้ และนี่คือสิ่งเหล่านั้น.. โอกาสของนักเตะฟอร์มดี เท่าที่ผ่านมา มิโลวาน ราเยวัช ถือเป็นเฮ้ดโค้ช ที่ค่อนข้างฟิ๊กซ์ตัวผู้เล่น และระบบของทีมชาติไทยไว้พอสมควร แต่เกมในนัดนี้ ซึ่งเป็นการอุ่นเครื่อง ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาควรให้โอกาสนักเตะฟอร์มดีจากไทยลีก ที่เรียกมาติดทีมชุดนี้ ทั้ง กรกช วิริยะอุดมศิริ ในตำแหน่งแบ็คซ้าย, ศศลักษณ์ ไหประโคน ในตำแหน่งปีกขวา หรือปีกซ้าย หรือจะเป็น สุมัญญา ปุริสาย ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ที่มีทีเด็ดในลูกฟรีคิก รวมถึง มานูเอล ทอม เบียร์ห กับตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เพื่อทดลองนักเตะ กับระบบการเล่นของทีม ก่อนการแข่งขันสองทัวร์นาเมนต์อย่าง เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 กับ เอเชี่ยนคัพ 2019 ซึ่งถ้ายังออกสตาร์ทในทีมชุดเดิมๆ เปลี่ยนตัวผู้เล่นสำรองลงมาในรูปแบบเดิมๆ ช่วงเวลาเดิมๆ นาทีเดิมๆ เหมือนเช่นตอน การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ 2018 ก็จะทำให้ถูกมองว่าเสียโอกาส และที่สำคัญ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายกับนักเตะหลายคนที่ฟอร์มดีจนได้ติดทีมชาติไทยชุดนี้ หากไม่ได้ลงสนาม ความแตกต่างของนักเตะจากเจ ลีก อีกสิ่งหนึ่งที่อยากเห็นก็คือ สร้างสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนของ “เจ & มุ้ย” สองดาวเตะจากทีมในกลุ่มหัวตารางของศึกเจลีก อย่าง คอนซาโดเล่ ซัปโปโร และ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า ทั้ง ชนาธิป และ ธีรศิลป์ ถือเป็นนักเตะไทยที่ประกาศศักดา โชว์ศักยภาพได้อย่างสวยหรู ในศึก เจ ลีก 15 เกมแรกของซีซั่น 2018 ซึ่งพวกเขายิงรวมกันไปถึง 6 ประตูในลีก และอีก 4 แอสซิสต์ แน่นอน ความเก่งกาจเหล่านั้น คือ สิ่งที่ผมอยากให้เขาแสดงออกมาให้พวกเราเห็นกันแบบชัดๆ ต่อหน้าแฟนบอลชาวไทยในสนามราชมังคลากีฬาสถาน เกมบุก ยุคราเยวัช เกมล่าสุดของทีมชาติไทย คือ การพ่ายแพ้ สโลวาเกีย 2-3 ในศึกคิงส์คัพ 2018 รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งในเกมวันนั้น ทีมชาติไทย โดนนำไปก่อน 2-0 ก่อนจะมาตีไข่แตกได้ในช่วงก่อนหมดครึ่งแรก ไม่กี่นาที และจบลงด้วยผล 1-2 ในช่วงครึ่งแรก โดยครึ่งหลัง ต้องยอมรับว่า มิโลวาน ราเยวัช ที่ถูกมองว่า มักจะเล่นด้วยรูปแบบรัดกุม หวังผลการแข่งขันกับทีมที่เหนือกว่า แต่เกมวันนั้น เขากลับสร้างสิ่งที่แตกต่างด้วยการให้นักเตะไทย เปิดเกมรุกสู้ ซึ่งทำได้ดี น่าตื่นตาตื่นใจ แม้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 2-3 แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้ที่น่าประทับใจ ฉะนั้น เกมกับทีมชาติจีน ซึ่งไม่ได้เหนือกว่าทีมชาติไทย มากเกินไปกว่าที่ “ช้างศึก” จะชนะไม่ได้ แถมยังได้เล่นในบ้านอีก ก็อยากจะเห็นรูปแบบการทำเกมรุก เพื่อหวังผลชัยชนะจากขุนพลเลือดมังกรให้ได้ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักเตะไทย ก่อนไปแข่งระดับเอเชียต้นปีหน้า บรรยากาศในสนาม 45,425 คือ ตัวเลขของแฟนบอลไทยในสนามรอบชิงชนะเลิศ คิงส์คัพ 2018 ซึ่งเป็นจำนวนที่สวยงาม และน่ายกย่อง บรรยากาศในวันนั้นมันสุดยอดมากๆ หากใครได้อยู่และสัมผัส แม้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้ที่น่าจดจำ ฉะนั้น สิ่งที่อยากเห็นที่สุดจากเกมในวันเสาร์นี้ และในทุกๆ เกมที่ทีมชาติไทยลงสนามในบ้าน นั่นคือ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยแฟนบอล มาช่วยกันร้อง มาช่วยกันเชียร์ มาช่วยกันตะโกน มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้นักเตะของเรา “เพื่อช้างศึกของเราทุกคน”

"จอน"

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline