logo-heading

ขอบสนามย้อนเวลา วันนี้จะพาไปทบทวนความทรงจำกับทีมชาติอังกฤษ ในศึกฟุตบอลโลก 2002 ชุดที่ว่ากันว่าดีที่สุด นับตั้งแต่เข้าสู่ยุค 90 พวกเขาได้สร้างผลงานอันน่าตื่นเต้นไว้มากมาย บางทีถ้าวันนั้นไม่เจอ บราซิล พวกเขาอาจจะได้ไปไกลรอบ 8 ทีม เอาเป็นว่าไปดูบทสรุปครั้งนั้นกัน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2000 สมาคมฟุตบอลอังกฤษ สร้างความตื่นเต้นให้กับสาวก “สิงโตคำราม” ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทย ด้วยการทำเซอร์ไพรส์แต่งตั้ง สเวน โกรัน อีริคส์สัน เข้ามาเป็นกุนซือทีมชาติ คนใหม่ แทนที่ เควิน คีแกน

ยุคนั้น สเวน โด่งดังเป็นพลุแตก ด้วยการสร้างชื่อกับ ลาซิโอ ยุคปลาย 90 กับต้นปี 2000 หลังจากพาทัพ “อินทรีฟ้า-ขาว” คว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ 1 สมัย และ โคปปปา อิตาเลีย 2 ครั้ง และเป็นยุคเฟื่องฟูของบอลอิตาลี โดย สเวน ทำให้ อังกฤษ ดูมีความหวัง เมื่อเกมแรกที่เขากุวบังเหียน ก็สามารถล้างแค้นเอาชนะ เยอรมัน มาได้ 5-1 ซึ่งถือว่าเป็นเกมเยือนด้วยซ้ำ จากนั้นเส้นทางสู่ ฟุตบอลโลก 2002 ก็เริ่มขึ้น 6 ตุลาคม ต.ค. 2001 เชื่อว่า โมเมนท์วันนั้น ยังไม่เคยหายไปจากใจของสาวกทีมชาติอังกฤษ ตราบจนถึงทุกวันนี้ เพราะนับเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้น เร้าใจ เกินคำบรรยาย เพราะ "สิงโตคำราม" กำลังลุ้นเข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพ แบบไม่ต้องเตะเพลย์ออฟ พวกเขาขอเพียงแค่คะแนนเดียวในการเจอกับ กรีซ แต่ทว่าแมตช์นั้นกลับเป็นฝ่ายตามหลัง 1-2 ด้วยเวลาที่บีบเข้ามาใกล้จะครบ 90 นาที ทำเอาสาวก "ทรี ไลอ้อนส์" นั่งกันแบบก้นไม่ติดเก้าอี้ และแล้วทดเวลาบาดเจ็บ อังกฤษ มาได้ฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลา เดวิด เบ็คแฮม รับอาสาเป็นผู้กุมชะตาให้กับคนทั้งชาติ เขาตั้งลูก พร้อมกับทำสมาธิอยู่สักระยะ ก่อนบรรจงปั่นด้วยขวา บอลพุ่งเสียบตาข่าย ชนิดที่ผู้รักษาประตูได้แต่ยืนมอง กลายเป็นวีรบุรุษทันที เพราะพาทัพ "สิงโตคำราม" ผ่านไปเล่น "เวิลด์ คัพ" รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ ก่อนเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอลโลก 2002 อย่างเป็นทางการ อังกฤษ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งเช่นเดิม โดยมี สเวน โกรัน อีริคสัน เป็นนายใหญ่ พร้อมกับหนีบบรรดาซูเปอร์สตาร์มาเต็มคันรถ ไม่ว่าจะเป็น โซล แคมป์เบลล์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์ และ ไมเคิ่ล โอเว่น นับว่าชุดนี้ เป็นชุดแห่งความหวังกับโทรฟี่ใบแรก นับตั้งแต่ปี 1966 อย่างไรก็ตาม 10 เม.ย. 2002 อังกฤษ ต้องพบกับข่าวสุดช็อค เมื่อ เดวิด เบ็คแฮม ฮีโร่ของชาติ ได้รับบาดเจ็บกระดูกเท้าแตก ขณะลงรับใช้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัด พบกับ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า ซึ่งต้องใช้เวลาพักประมาณ 6-8 สัปดาห์ สุ่มเสี่ยงต่อการพลาด “เวิลด์ คัพ 2002” อยู่รอมร่อ หากขาดตัวสำคัญไป บางที อังกฤษ อาจไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่กระนั้นเหมือนฟ้ากำหนดไว้แล้วว่า “หัวสิงโตคำราม” ต้องมีผู้นำทัพชื่อ เบ็คแฮม เขาหายจากอาการบาดเจ็บได้ทันเวลา และมีชื่อเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติอังกฤษ ของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน เหมือนเดิม 2 มิ.ย. 2002 อังกฤษ ลงเล่น ฟุตบอลโลก 2002 เป็นเกมแรก พวกเขาต้องเจอกับ สวีเดน ซึ่งนำมาโดย เฮนริค ลาร์สสัน เกมนั้น "สิงโตคำราม" เดินหน้ายำใหญ่เข้าใส่ทัพ "ไวกิ้ง" ก่อนจะมาแผลงฤทธิ์จากลูกเตะมุม เบ็คแฮม เปิดด้วยขวาบอลเลี้ยวเข้าประตู และเป็น "บิ๊กโซล" วิ่งมาโขกเต็มกบาลให้ทีมขึ้นนำ 1-0 จริงๆ อังกฤษ มีโอกาสอีกพอสมควร แต่ทว่าด้วยความผิดพลาดของแนวรับ เคลียร์บอลกันไม่ขาด ทำให้ สวีเดน เก็บตกบริเวณหน้าประตู ก่อนจะโดน นิคลาส อเล็กซานเดอร์สสัน กดเต็มซ้าย บอลแหวกอากาศ เดวิด ซีแมน ปัดโดนแค่ปลายนิ้ว จบเกมเสมอ 1-1 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน 7 มิ.ย. 2002 ความแค้นยังคงว่ายเวียนในความรู้สึกสำหรับสาวก "สิงโคตำราม" เพราะเมื่อครั้ง ฟุตบอลโลก 1998 อังกฤษ เคยตกรอบด้วยน้ำมือ อาร์เจนติน่า มาแล้ว รวมถึงมีคดีที่ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ยั่วยุ เดวิด เบ็คแฮม จนโดนไล่ออกจากสนาม ครั้งนี้ อังกฤษ มาในแบบยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม ใช้เกมตรงกลางคอยบีบกดดัน และ อาศัยความผิดพลาดของคู่แข่ง โดยเกือบจะได้ประตูขึ้นนำจาก ไมเคิ่ล โอเว่น แต่บอลไปชนเสา อย่างไรก็ตาม อังกฤษ มาได้ลูกจุดโทษ เมื่อ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ แนวรับ "ฟ้า-ขาว" ไปทำฟาลว์ใส่ "เบบี้ โกล" ในกรอบเขตโทษ ก่อนจะเป็น เบ็คแฮม กดเต็มหลังเท้า บอลซุกตาข่าย ให้ "สิงโตคำราม" นำ 1-0 และเป็นประตูชัยคว้า 3 แต้มแรกในทัวร์นาเมนต์ 12 มิ.ย. 2002 การชนะ อาร์เจนติน่า ทำให้โอกาสผ่านเข้ารอบ อังกฤษ ค่อนข้างจะสดใส โดยขอเพียงแค่ 1 คะแนน ก็จะการันตีทันที และถ้าหากต้องการเป็นแชมป์กลุ่ม นั่นคือต้องเอาชนะ ไนจีเรีย ซึ่งตกรอบไปแล้วเรียบร้อย ให้ได้ เกมนี้ อังกฤษ โหมบุกอย่างหนัก เพื่อหวังยิงประตูให้ได้ ขณะที่ ไนจีเรีย ก็รอสวนเป็นระยะๆ แล้วมีโอกาสทำเซอร์ไพรส์อยู่หลายหน แต่ เดวิด ซีแมน ก็ยังช่วยไว้ได้ และสุดท้าย "สิงโตคำราม" ก็กลับไม่เฉียบคมมากพอ ทั้งลูกกระชากของ โอเว่น, ยิงระยะ 6 หลาจาก เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม ก็โด่งข้ามคานไปไกล จนทำอะไรกันไม่ได้เสมอไป 0-0 ส่งผลให้ อังกฤษ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีม ในฐานะอันดับ 2 กลุ่มเอฟ 15 มิ.ย. 2002 อังกฤษ ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีม มาเจอกับ เดนมาร์ก เจ้าของแชมป์กลุ่มเอ ซึ่งมาด้วยฟอร์มสด ถึงขั้นเขี่ยฝรั่งเศส มาแล้ว โดยทัพ "โคนม" ยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอย่าง โทมัส กราเวนเซ่น, เดนนิส รอมเมดาห์ล, ยอน ดาห์ล โทมัสสัน และ  เจสเปอร์ กรุนชา แต่ด้วยความยอดเยี่ยม และ แท็คติคของ สเวน ทำให้ อังกฤษ เหนือกว่า เดนมาร์ก ทุกกระบวนท่า และก็มาเริ่มได้ประตูขึ้นนำจากทีเด็ดลูกเตะมุม เบ็คแฮม เปิดเข้าไป ก่อนจะเป็น ริโอ เฟอร์ดินานด์ โหม่งให้ อังกฤษ ขึ้นนำ 1-0 จากนั้น โอเว่น หลุดกับดักล้ำหน่้า ยิงสวนตัวผู้รักษาประตูเข้าไป เท่านั้นไม่พอ เอมิล เฮสกี ก็มายิงไกลนำ 3-0 เป็นประตูตอกฝาโรงให้ อังกฤษ เอาชนะ เดนมาร์ก แบบขาดลอย นี่คือความหวังแห่งประเทศอังกฤษ สำหรับ "สิงโตคำราม" ยุคปี 2002 เพราะด้วยฟอร์มนับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมา พวกเขาถูกมองว่ามีโอกาสถึงขั้นคว้าแชมป์ นับตั้งแต่รุ่นปู่เคยทำเอาไว้ ในศึก "เวิลด์ คัพ 1966" และคู่แข่งรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก็คือตัวเต็งเช่นกันนั่นคือ บราซิล 21 มิ.ย. 2002 ถึงเวลาที่ อังกฤษ ได้ลงโม่แข้งกับ บราซิล ความทรงจำหลายๆคนกับการได้ดู ฟุตบอลโลก ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ มันเป็นอะไรที่ฟินเวอร์ โดยเฉพาะการได้ดู "สิงโตคำราม" โม่แข้งกับทัพ "แซมบ้า" ซึ่ง อังกฤษ ยังเน้นตัวผู้หลักชุดเดิมๆ เพื่อมาปะทะกับ แก๊งค์ "3 อาร์" ประกอบด้วย โรนัลโด้, โรนัลดินโญ่ และ ริวัลโด้ บอกเลยว่า อังกฤษ เตรียมตัวมาดีโคตรๆ เล่นเอา โรนัลโด้ แผลงฤทธิ์ไม่ออก และ ทำอะไรแทบไม่ได้ นับว่าเป็นนัดเดียวที่ "เหยินใหญ่" ผลิตสกอร์เป็น 0 โดย อังกฤษ ถึงขั้นขึ้นนำก่อน 1-0 จากความผิดพลาดของแนวรับคู่แข่ง และ โอเว่น ใช้สปีด ฉกไปยิงให้ทีมไม่เหลือซาก อย่างไรก็ตามถึงแม้ในวันที่ โรนัลโด้ เล่นไม่ออก แต่ทว่า โรนัลดินโญ่ กลับโชว์ลวดลาย เลี้ยงจากกลางสนาม ก่อนจะไหลใส่พานให้กับ ริวัลโด้ เอี่ยวตัวยิงด้วยซ้ายตีเสมอ 1-1 และแล้วโมเมนต์ที่ถูกบันทึกไว้เกี่ยวกับความทรงจำแห่งทัวร์นาเมนต์ "ฟุตบอลโลก" ต้องยกให้ลูกยิงของ "เหยินน้อย" ที่ลักไก่หลอกยิงฟรีคิก จากระยะ 40 หลา บอลย้อยข้ามหัว ซีแมน ไปอย่างเหนือชั้น พลิกขึ้นนำ 2-1 โอกาสของ อังกฤษ มีมากขึ้น เมื่อ โรนัลดินโญ่ เอง มาโดนไล่ออกจากอีก 7 นาทีต่อมา แต่ อังกฤษ ทำอะไรเพิ่มเติมไม่ได้ ซึ่งกว่า สเวน จะเปลี่ยนตัวส่งกองหน้าลงมา ก็สายไปเสียแล้ว แถม บราซิล มีการใช้ชั้นเชิงถ่วงเวลาจนครบ 90 นาที นับเป็นการปิดฉากของ “ทรี ไลอ้อนส์” ไว้เพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น ส่วน "แซมบ้า" ก็ก้าวไปเป็นแชมป์ ฟุตบอลโลก 2002 นี่คือความทรงจำสำหรับทีมชาติอังกฤษ ในศึก ฟุตบอลโลก 2002 เพราะนับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ "สิงโตคำราม" ชุดที่พ่ายแพ้ บราซิล 1-2 ยังคงถูกยกย่องให้เป็นชุดที่ดีที่สุด บางทีโชคร้ายไปหน่อย ที่ต้องมาปะทะกับ "แซมบ้า" ก่อนเวลาอันควร ฉะนั้นมาดูกันว่า "เวิลด์ คัพ 2018" อังกฤษ จะสร้างประวัติศาสตร์ ทดแทนรุ่นพี่ได้หรือไม่
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline