logo-heading
หากจะพูดถึงกองหน้าหมายเลข 1 ของประเทศไทย ในโมงยามตอนนี้ คงหนีไม่พ้น “มุ้ยซัง” ธีรศิลป์ แดงดา ดาวเตะจากซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า ปักหลักรับใช้ทีมชาติไทยมายาวนาน ร่วมๆ 12 ปี นับตั้งแต่เดบิวต์ในยุคของ “โค้ชหรั่ง” ชาญวิทย์ ผลชีวิน เกมอุ่นเครื่องกับฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนมีนาคม 2006 (พ.ศ.2549) จากแข้งโนเนมนอกสายตา พร้อมกับคำครหาเด็กเส้นในเวลานั้น ถึงขั้นโดนแบนจากรุ่นใหญ่ในทีมชาติ ระหว่างซ้อม ก่อนจะใช้ฝีเท้าและความมุ่งมั่น พิสูจน์ความสามารถจนเสียงตำหนิจากหลายฝ่ายกลืนหายไป วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว “มุ้ยซัง” ฝ่าฝันสู่ทำเนียบทีมชาติจนเป็นตัวหลัก แต่เพื่อนๆบ้างคนที่เติบโตในระดับเยาวชนที่เคยฝึกซ้อม ในวัยเยาว์ค่อยๆหายไปตามเวลา ขอบสนามขอนำเสนอ 8 อดีตคู่หู ธีรศิลป์ ที่ไม่เติบโตไปพร้อมกัน พร้อมแล้วเชิญรับชมเนื้อหาด้านล่างได้เลยครับ 1.รณชัย รังสิโย 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน กองหน้าจอมเจ็บวงการลูกหนังไทย คงหนีไม่พ้นชายที่ชื่อ รณชัย รังสิโย ในความเป็นจริงแล้ว เขาเติบโต มาในเวลาไล่เลี่ยกับธีรศิลป์ แดงดา เพียงแต่จังหวะชีวิต โชคชะตา และโอกาส กลับมาไม่สอดคล้องให้เจริญรอยตามไปด้วยกัน “แซม” คือคนที่ได้โควตาไปฟุตบอลกับเอฟเวอร์ตัน เมื่อปี 2005 ส่วน”มุ้ยซัง” ไม่ผ่านการคัดเลือก  ภายหลังจากกลับจากแดนผู้ดี รณชัย ไปอยู่กับสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยิงประตูถล่มถลาย 16 ลูก นำพาทีม”จอมช็อต” ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ไทยลีก 2008 จนขยับไปมีชื่อติดทีมชาติไทยซูซูกิ คัพ ร่วมกับ “เอล แดงดา” ไทยลีกช่วงกลางฤดูกาล 2009 เมืองทอง ประสบความสำเร็จคว้าตัว รณชัย มาร่วมทีม ด้วยค่าตัวราว 3 แสนบาท พร้อมความหวังที่อยากเห็นทั้ง 2 แข้งผนึกสกอร์ช่วยกิเลนผยอง คว้าแชมป์ แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก “แซม” เกิดบาดเจ็บจนหัวเข่าขวาบิดอย่างแรง จากการอุ่นเครื่องระหว่างเมืองทอง กับทีมชาติ หลังจากนั้นเขาพยายามฟิตกลับมา ทว่าปัญหาการบาดเจ็บตามรังควานชีวิตนักบอลมาอาชีพเขามาโดยตลอด ไม่เคยกลับมาเป็นยอดกองหน้าชั้นยอดอีกเลย ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ทีมไหนก็ตาม ทั้ง บีอีซี เทโรศาสน, แบงค็อก ยูไนเต็ด, แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล,ซุปเปอร์ พาวเวอร์ สมุทรปราการ หรือแม้กระทั่งต้นสังกัดปัจจุบันอย่างเชียงใหม่ เอฟซี 2.ศักรินทร์ จันทร์โยธา 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน “รูนี่ย์เมืองไทย” วันเดอร์คิดส์วงการฟุตบอลไทย เมื่อประมาณ 14-15 ปีที่แล้ว ฐานโทษที่เป็นผู้เล่นพรสรรค์ดาวรุ่งไทยในยุคนั้น “โก้” เป็นกองหน้าที่มีเท้าซ้ายทรงพลัง อันตราย และหนักหน่วง เขาคือสตาร์หมายเลข 1 ของโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี ช่วยนำ”เจ้าสัวน้อย” กวาดถ้วยรางวัลระดับบอลนักเรียนมากมาย จนธีรศิลป์ แดงดา ยังยอมรับเลยว่ามีฝีเท้าทักษะ เทคนิค ที่เก่งและเหนือกว่า ศักรินทร์ โชว์ฟอร์มเยี่ยมในการรับใช้ชาติ 17 ปีชิงแชมป์เอเชีย ที่ญี่ปุ่น เมื่อปี 2004 แม้ทีมชุดนั้นตกรอบแรก แต่กลับมาถึงเมืองไทย เขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นเยาวชนบีอีซี เทโรศาสน พร้อมเงินเดือน 35,000 บาท หลายๆคนคาดหวังเห็น”โก้” เฉิดฉายในไทยลีก แต่ด้วยที่ยังเป็นเด็ก ประกอบกับมังกรไฟ ยุคนั้น แข้งทีมชาติและเยาวชนหัวกระทิเดินกันให้ทั่วสนามซ้อมที่หนองจอก ทำให้”โก้” เริ่มเข้าสู่คำว่าหลงระเริง นำเงินที่ได้จากการซ้อมจากเทโร ไปเที่ยวกลางคืนดื่มหนัก จนค่อยๆหายจากสารบบฟุตบอลไทย แม้จะมีโอกาสเล่นไทยลีก กับสโมสรตำรวจ เมื่อปี 2007 แต่ ศักรินทร์ เริ่มประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ จนบั่นทอนชีวิตลงไปทีละนิดทีละนิด ศักรินทร์ เคยขอโอกาสจาก “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ถึง 2 ครั้งซ้อมกับทั้งการท่าเรือ เอฟซี และแบงค็อก ยูไนเต็ด เพื่อเรียกความฟิตกลับมาโลดแล่นฟุตบอลอาชีพ แต่ไลฟ์สไตล์ที่สนุกสนานรักความสบาย ทำให้ไม่สามารถสลัดภาพตรงนี้ออกไปได้และต้องถอดใจไปในที่สุด ปัจจุบัน ศักรินทร์ จันทร์โยธา กลายเป็นโค้ชฟุตบอลเยาวชนในจังหวัดกาญจนบุรี เขาหวังว่าจะนำอุทาหรณ์และความผิดพลาดในชีวิตมาให้แก่ถ่ายทอดและสอนเด็ก 3.วิสูตร บุญเป็ง 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน ดาวเตะจากทีมชุดเดอะ วินเนอร์ หนุ่มน้อยผู้มีถิ่นกำเนิดจังหวัดเชียงราย ว่ากันว่านี่คือแข้งที่อัดเน้นด้วยเบสิคเทคนิคที่แพรวพราว สามารถประจำได้ทุกตำแหน่งเกมรุก ทั้งเพลย์เมกเกอร์, กองหน้า แต่ตำแหน่งที่ถนัดสุดคือการเล่นปีก จนมีชื่อเสียงชื่อเสียงกับสถาบันอัสสัมชัญธนบุรี “ดา” โด่งดังจากการเป็น 2 นักเตะไทย ไปร่วมแข่งขัน “เป๊ปซี่เวิลด์ชาลเล้นจ์”เมื่อปี 2006 ร่วมกับอนาวิน จูจีน รายการนี้เป็นความทรงจำที่ดีและลบในเวลาเดียวกัน ตราบาปเดียวของเขาคือการสังหารลูกจุดโทษรอบชิงไม่เข้า ซึ่งหลังจากที่เดินทางกลับมายังประเทศไทย “ดา” ถูกแฟนบอลทั่วไปถามคำถามนี้อยู่บ่อยครั้ง จนท้อและถอดใจในการไล่ล่าตามความฝันกับสโมสรระดับไทยลีก ซึ่งมันคือเหตุผลเดียวที่ค้างคาใจมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีโปรไฟล์ค้าแข้งกับหลายสโมสร แต่”ดา” ไม่เคยเฉียดใกล้กับ “มุ้ย” เลยแม้แต่ครั้งเดียว เริ่มต้นที่สโมสรราชประชา พร้อมเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมัธยม ในระดับถ้วยพระราชทาน ข. ปี 2550 จากนั้นย้ายไปค้าแข้งกับ การท่าเรือไทย  จนโดน วิว่า เกราล่า ในลีกอินเดีย มาล่าตัวเขาไปร่วมทีมด้วยสัญญาระยะสั้น โชคชะตาหลังจากนั้น วิสูตร เดินทางกลับมาไทย และย้ายทีมวนเวียนอยู่ในลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 ทั้ง เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด, บางกอก เอฟซี, พิจิตร เอฟซี (2 ครั้ง), พิษณุโลก เอฟซี, นครสวรรค์ เอฟซี, อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด และ เชียงราย ซิตี้ สโมสรบ้านเกิด ปัจจุบันเขาแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการด้วยวัย 29 ปีเศษ ปักหลักใช้ชีวิตเงียบๆกับครอบครัวและลูกน้อยที่เชียงราย 4.ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน ถ้าศักรินทร์ จันทร์โยธา คือกองหน้าที่มีเท้าซ้ายที่รุนแรง ทรงพลัง ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ ก็คือจอมทัพที่มีอีซ้าย สร้างสรรค์เกมรุก และเลี้ยงบอลได้เชื่องติดเท้า จนเป็นเรื่องยากหากจะมีใครสักคนคิดจะมาแย่งบอลออกจากเท้าไปได้ง่ายๆ เด็กหนุ่มผู้ที่ครอบครัวมีพร้อมหมดทุกอย่าง แต่ “กร” กลับเลือกเล่นฟุตบอล เขาคือดาวรุ่งตำแหน่งหมายเลข 10 ของเมืองไทย ที่เล่นฟุตบอลด้วยเท้าซ้ายข้างเดียว ณธฤษภ์ ในวัยเยาว์เจ๋งถึงขั้นก้าวไปฝึกซ้อมทีมชุดใหญ่บีอีซี เทโรศาสน ในขณะที่อายุ 14 ปี ยุคที่”โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม เป็นกุนซือ พร้อมเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ใช้ฟอร์มโคตรแหล่ม จนถูกลงข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ในดินแดนลุงแซมมาแล้ว เขากลับมาไทย พร้อมความความหวังที่จะก้าวไปสูงทำเนียบทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และมังกรไฟ แต่การใช้ชีวิตที่สันโดษ ประกอบกับต้องแบ่งเวลาอีกส่วนหนึ่งให้แก่การเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ทำให้ความมุ่งมั่นในกีฬาฟุตบอลเริ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ แถมยังต้องเจออาการบาดเจ็บค่อยเล่นงานอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่เน้นใช้พละกำลังทางร่างกายซะเป็นส่วนใหญ่ ณธฤษภ์ ย้ายจากบีอีซี เทโร อู่ข้าวอู่น้ำเดิมไปเมืองทองฯ แต่เขาก็เบียดแย่งตำแหน่งภายในทีมกิเลนผยองไม่ได้ จนโดนขายไปยังชัยนาท ตามด้วยนครราชสีมา แต่ด้วยสไตล์การเล่นในสนามที่ออกแนวบอลชายเดียว มากกว่าเล่นเป็นทีม ทำให้ดูไม่เวิร์ก จนต้องลดระดับตัวเองไปเล่นในระดับดิวิชั่น 2 กับโดม เอฟซี และสุดท้ายก็ถอยหลังออกจากสิ่งที่เขารัก ก่อนอายุ 30 ปี ปิดฉากตัวเอง พร้อมกับเปิดท้ายขายเสื้อผ้าที่ตลาดรถไฟ ย่านรัชดาฯ 5.กีรติ เขียวสมบัติ 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน “กีรติอุส” กองหน้าที่ฉายานี้ผู้สื่อข่าวและแฟนบอลไทย เคยตั้งให้เมื่อปี 2012 หลังทำงานได้เหนือความคาดหมายในการรับใช้ชาติ ซูซูกิ คัพ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ แต่ “เดอะ ป็อป” ก็ทำได้ 4 ประตู จากทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว จนเรื่องเป็นที่พูดถึงในแวดวงลูกหนังไทย หนุ่มจากจังหวัดน่าน เขาเป็นรุ่นพี่ของ”มุ้ยซัง” 1 ปีในโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงเด่นดัง สมัยบอลนักเรียน แต่สิ่งที่ “ป็อป” มีคือเป็นนักบอลรูปร่างใหญ่และหนา ทำให้เหมาะเป็นตัวชนค่อยปะทะกับกองหลังฝั่งตรงข้าม เพื่อเปิดทางให้กองหน้าได้มีโอกาสสังหารประตู ซึ่งจุดนี้เองทำให้เวลาที่ กีรติ ยืนคู่หน้าธีรศิลป์ รู้สึกไม่กดดันหรือแบกความหวังมากเกินไป นี่คือข้อดีของกีรติ ที่โค้ชหลายๆคนมองเห็นและมักจะใช้จุดนี้ให้เกิดประโยชน์ แม้จะเข้าข่ายกองหน้าปืนฝืดบ้าง, ผ้าเย็นบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดเด่นตรงนี้ทำให้ “ป็อป” ยังยืนหยัดอยู่ในวงการฟุตบอลไทย มาได้ยาวนาน เขาพเนจรค้าแข้งกับหลายสโมสรทั้ง ทหารบก, ทีโอที, บุรีรัมย์ พีอีเอ, วัวชน ยูไนเต็ด, พีทีที ระยอง, ชลบุรี เอฟซี, ขอนแก่น ยูไนเต็ด รวมถึงต้นสังกัดปัจจุบันอย่างนครราชสีมา แม้จะไม่เคยได้ชื่อว่าเป็นตัวหลักของสโมสรไหนก็ตาม แต่กีรติ (ธัชกร) ชื่อปัจจุบัน ก็เคยมีชื่อได้แชมป์ไทยลีก 2011 รวมถึงแชมป์ซูซูกิ คัพ ปี 2014 ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลที่แข้งไทยบางคนไม่เคยได้สัมผัส 6.อานนท์ สังสระน้อย 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน “ดำ ปักธงชัย” กองหน้าระดับท็อปของวงการลูกหนัง เมื่อประมาณ 9-10 ปีก่อน การซัลโวประตูพาทีมชาติไทย ครองเหรียญทองซีเกมส์ 2007 โคราช ขณะที่”มุ้ยซัง” ยังคงมีสถานะสำรองในทีมชุดนั้น ความร้อนแรงของอานนท์ ฉุดไม่อยู่กลับพีคกับต้นสังกัดบีอีซี เทโรศาสน ซิวตำแหน่งดาวยิงสูงสุดไทยลีก 2 ฤดูกาล 2008 และ 2009 จนครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศผ่านรายการทีวีช่องหนึ่งว่า “เงินซื้อผมไม่ได้ เพราะความสุขกับสโมสรแห่งนี้ ไม่ได้อยากย้ายไปไหน” เมื่อถึงเวลาจริง อานนท์ ย่อมคิดถึงความท้าท้าย โทรฟี่แชมป์, โอกาสเล่นฟุตบอลสโมสรเอเชีย และเป็นขาประจำในยามทีมชาติ ซึ่งหากปักหลักอยู่ที่เดิมคงไม่โอเคแน่ 17 มกราคม 2011 (พ.ศ.2554) อานนท์ โชว์เสื้อเปิดตัวเป็นผู้เล่นใหม่กิเลนผยอง พร้อมแบกคาดหวังจากหลายฝ่ายจะจับคู่ผลิตสกอร์ระเบิดระเบ้อ ร่วมกับธีรศิลป์ แดงดา ทว่าความจริงและความหวังของเขาพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงในสีเสื้อเมืองทอง “ดำ” เบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงไม่ได้ แถมบางครั้งเล่นไม่เข้าระบบ ประกอบกับศูนย์หน้าเมื่อพังประตูไม่ได้ความมั่นใจหดหาย ผลงาน 8 เกมในลีกสูงสุดยิงได้แค่ 3 ลูกกับค่าตัวเฉียดล้านบาท เรียกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบัน อานนท์ เปลี่ยนบทบาทรับหน้าเป็นโค้ชสอนฟุตบอลสิงห์สิกุล อะคาเดมี่ แถวย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี 7.ฉัตรชัย นาควิจิตร 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน กองหน้าผู้ยิงประตูเป็นว่าเล่นในระดับบอลนักเรียนกับราชวินิต บางแก้ว จนเข้าสู่ชายคาบีอีซี เทโรฯ แต่ไม่อาจสอดแทรกสู่ทีมชุดใหญ่ จนถูกปล่อยให้เมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งเวลานั้นเล่นในระดับดิวิชั่น 2 เมื่อปี 2007 ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่กิเลนผยอง ไปดึงธีรศิลป์ แดงดา มาจากแมนฯซิตี้ แบบยืมตัวเช่นกัน 2 ดาวรุ่งที่ว่ากันว่าเป็นความหวังใหม่วงการฟุตบอลไทย จับคู่เป็นพาร์ทเนอร์ในแดนหน้า ล่าตาข่าย “หนุ่ม” กดไป 11 ประตู ส่วน”มุ้ย” ซัลโวไป 6 ลูกช่วยกันนำกิเลนผยอง คว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 และขยับสู่ดิวิชั่น 1 ในปีถัดมา จากนั้นกราฟชีวิตของ ฉัตรชัย และ ธีรศิลป์ สวนทางกันสิ้นเชิง ฉัตรชัย โยกไปเป็นผู้เล่นใหม่เชียงราย ยูไนเต็ด ในขณะที่ทีมกว่างโซ้งก่อร่างสร้างทีม เมื่อปี 2009 ตั้งแต่ลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 แต่ไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นตัวหลักให้เชียงรายได้เลย เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บ ที่มักจะตามเล่นงาน”หนุ่ม” มาโดยตลอด เรียกว่าจังหวะชีวิตไม่เป็นใจเอาเสียเลย จนเขาต้องอพยพไปล่าตาข่ายให้เชียงใหม่ เอฟซี ตามด้วยลำปาง เอฟซี ก่อนที่จะมาลงเอยที่สโมสรเจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดปัจจุบัน อาจจะบอกได้ว่า ฉัตรชัย นาควิจิตร อาจจะเหมาะสมกับบทบาทมือปืนลีกระดับล่างในเมืองไทย มากกว่าจะเป็นแข้งดังในไทยลีก 8.ชัยณรงค์ ทาทอง 8 อดีตกองหน้าคู่มุ้ยซัง ที่บุญไม่ส่งผล เติบโตไปพร้อมกัน กองหน้าตัวหลักทีมนักเรียนไทย เมื่อปี 2005 (พ.ศ.2548) หรือชุดเดอะ วินเนอร์ เขาคือคนที่เบียด “มุ้ยซัง” ธีรศิลป์ แดงดา หลุดออกจากวงโคจร "บี้" ชัยณรงค์ คือกองหน้ารูปร่างดี ชำนาญเรื่องการหาพื้นที่จบสกอร์ได้เยี่ยม หลังสร้างชื่อกับโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี จากนั้น 1 ปีผ่านไป “บี้” และ “มุ้ย” กลับมาอยู่ร่วมทีมในชุด19 ปี ที่เดินทางไปแข่งรอบสุดท้ายที่อินเดีย ในรอบคัดเลือกเอเชีย ชัยณรงค์ คือตัวจริง แต่พอถึงเวทีสนามจริง ธีรศิลป์ ได้โอกาสลงสนามทำประตูได้ผิดกับน้องชายของวุฒิชัย ที่เบิกสกอร์ไม่ได้ หลังจบทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวทั้ง 2 คนมีชะตาต่างกัน ชัยณรงค์เลือกโควตานักกีฬาเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่นฟุตบอลกับจุฬา ยูไนเต็ด “บี้” มาท็อปฟอร์มจนกลายเป็นแข้งโปรไฟล์หรู ยิงประตูกระจุยกระจาย กับบีบีซียู ในดิวิชั่น 1 ปี 2011 ถึง 19 ประตู จนได้เลื่อนชั้นมาโชว์เพลงแข้งในระดับไทยลีกในฤดูกาลถัดมา แต่โดยภายรวม ชัยณรงค์ ในระดับบอลอาชีพห่างไกลกับตอนเป็นยอดกองหน้าบอลนักเรียน การย้ายไปร่วมทัพเมืองทอง ยูไนเต็ด เหมือนการฆ่าตัวเองทางอ้อม “บี้” ไม่เคยเข้าใกล้คำว่าตัวหลักในถิ่นเอสซีจี สเตเดี้ยม เหมาะกับสถานะแข้งจอมยืมตัวถึง 6 ครั้ง กับอาร์มี่ ยูไนเต็ด, โอสถสภา, บีอีซี เทโรศาสน, พัทยา ยูไนเต็ด และ พีทีที ระยอง 2 หน ปัจจุบัน ชัยณรงค์ มีสัญญาอยู่กับทางพัทยา แต่ถูกปล่อยยืมไปให้เป็นลูกทีม ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ในทัพพลังเพลิง โดยอดีตนักเตะทีมชาติชุดแชมป์ซูซูกิ คัพ ปี 2014 กำลังรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ

เอ็มเร่

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline