logo-heading

ย้อนกลับไปถึง ฟุตบอลโลก 2014 ความทรงจำต่างๆยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึก เสมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ความดีใจ, ความสนุกนาน, ความโศกเศร้า, และ น้ำตาที่ไหลนองแก้ม ล้วนแต่เกิดขึ้นกับการแข่งขัน "เวิลด์ คัพ 2014" ประเทศบราซิล

ย้อนกลับไปก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ บราซิล เจ้าภาพ ถูกยกให้เป็นตัวเต็งที่จะชูโทรฟี่ "มหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" ด้วยเรื่องของผลงาน บวกกับจะมีมวลมหาประชาชน เขามาส่งแรงใจอย่างล้นหลาม ถึงแม้จะมีการต่อต้าน จากการใช้เม็ดเงินสิ้นเปลือง ย้อนแย้งกับเศรษฐกิจภายในประเทศ

แต่กระนั้น บราซิล ก็ต้องเจอคู่แข่งสำคัญหลายๆชาติ ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, อิตาลี, ฝรั่งเศส, อาร์เจนติน่า รวมถึง เยอรมัน ผู้รับบทเป็นแค่พระรองมาตลอด นับตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 2002 เพราะไม่ตกม้าตายในรอบตัดเชือก ก็ไปแพ้ในนัดชิงดำ

ท่ามกลางกระแสของทีมชาติบราซิล แต่สปอร์ตไลท์ก็สาดส่องมาหา เยอรมัน ไม่แพ้เช่นกัน รอบแบ่งกลุ่ม vs โปรตุเกส ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น เยอรมัน ต้องเจอกับข่าวร้าย เมื่อ มาร์โก รอยส์ แนวรุกตัวเก่ง ได้รับบาดเจ็บ จนต้องถอนตัวออกจากทีมชาติ และใส่ชื่อ ชโคดราน มุสตาฟี่ เข้ามาแทน แต่ทว่าความแข็งแกร่งก็ไม่ได้ลดลง ถึงแม้เกมแรกของ "ฟุตบอลโลก" จะต้องพบกับ โปรตุเกส นำโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ตาม ทัพ "อินทรีเหล็ก" ก็แสดงความแข็งแกร่งด้วยการถล่ม "ฝอยทอง" ไปถึง 4-0 ด้วยฝีเท้าของ โธมัส มุลเลอร์ ผู้ถูกจารึกว่าเป็นคนทำแฮตทริคแรกในทัวร์นาเมนต์ "เวิลด์ คัพ 2014" และ มาได้ลูกโขกอีก 1 ตุงจาก มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ ซึ่งที่รูปเกมขาดเช่นนี้ เพราะ เปเป้ กองหลัง โปรตุเกส คุมอารมณ์ไม่อยู่ เอาหัวไปไถ มุลเลอร์ จนโดนใบแดงไล่ออก vs กาน่า จากการเปิดหัวอันสวยหรูของทีมชาติเยอรมัน ทำให้นัด 2 ที่พบกับ กาน่า ใครๆก็คาดเดาว่า "อินทรีเหล็ก" คงบินไล่จิกอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผิดมหันต์ เพราะทัพ "ดาวดำ" มาแพ็คเกมรับกันได้ยอดเยี่ยม และใช้เกมโต้กลับเร็วจากทั้ง อังเดร อายิว และ อซาโมอาห์ กียาน จนทำให้ มานูเอล นอยเออร์ ต้องออกแรงเซฟไปเหมือนกัน สุดท้าย เยอรมัน เจาะเกมรับ กาน่า จนได้ โดยใช้ลูกครอสจากด้านข้าง เปิดมาให้กับ มาริโอ เกิทเซ่ โขกบอลไปโดนเข่าตัวเองให้ เยอรมัน ขึ้นนำ 1-0 อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอก กาน่า มาดีเหลือเกิน และทำเซอร์ไพรส์ พลิกแซงนำ "อินทรีเหล็ก" 1-2 ต้องเดือดร้อน มิโรสลาฟ โคลเซ่ ลงมาเป็นสำรอง และอยู่ในสนามแค่ 2 นาที ตีเสมอ 2-2 สำเร็จ แบ่งไปทีมละ 1 คะแนน vs สหรัฐ อเมริกา เกมนี้ เยอรมัน ขอเพียงแค่เสมอกับ สหรัฐฯ ซึ่งคุมทีมโดย เจอร์เก้น คลินส์มันน์ ตำนานลูกหนังเมืองเบียร์ ก็จะกอดคอกันเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ทันที แต่ทัพ "อินทรีเหล็ก" คงไม่อยากจะเจอกับ เบลเยี่ยม ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์ ทำให้พวกเขาต้องเน้นเกมนี้เป็นพิเศษ เพื่อโอกาสเป็นจบแชมป์กลุ่ม เกมนี้มันไม่ควรจะจบลงแบบหืดจับสำหรับ เยอรมัน แต่ทว่ายิงเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านมือ ทิม โฮเวิร์ด นายทวารจากแดน "มะกัน" สุดท้ายต้องใช้การยิงแบบ "ซ้ำดาบ 2" ของ โธมัส มุลเลอร์ ยิงแปรเบียดเสาช่วยให้ เยอรมัน ชนะ สหรัฐ 1-0 คว้า 3 คะแนน คว้าแชมป์กลุ่มจี มาครอง รอบ 16 ทีมสุดท้าย vs แอลจีเรีย ดูเหมือน "อินทรีเหล็ก" จะแพ้ทรงทีมบอลจากทวีปแอฟริกา ในสไตล์แบบรับแน่นๆ ผู้รักษาประตูเหนียวๆ และโดนโต้กลับ จนเกือบจะโดนอยู่หลายครั้งก็ตาม เกมนี้ เยอรมัน ยังคงเดินหน้าบุกเช่นเดิม แต่ทว่า ราอิส เอ็มโบลี นายทวารทีมชาติแอลจีเรีย โชว์ซูเปอร์เซฟให้โลกตะลึง ช่วยทีมยันเสมอ เยอรมัน 0-0 เมื่อจบ 90 นาที ตอนนั้น แฟนบอลเริ่มคิดแล้วว่าบางที "แจ็คผู้ฆ่ายักษ์" อาจจะเกิดที่สังเวียน ปอร์โต้ อเลเกร ก็เป็นได้ เพราะตอนนั้น แอลจีเรีย ใจมาเต็มที่ แต่โมเมนท์แห่งแชมป์ จำเป็นต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ และ เยอรมัน ก็ทำสำเร็จ เมื่อ อันเดร เชือร์เล่ ยิงประตูได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงช่วงต่อเวลา และ เมซุต โอซิล ก็มาซัดขึ้นนำ 2-0 ช่วงใกล้หมดเวลา แม้จะโดน แอลจีเรีย ตีตื้นมาตอนทดเจ็บ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว กลายเป็น เยอรมัน ชนะไป 2-1 รอบ 8 ทีมสุดท้าย vs ฝรั่งเศส นับเป็นแมตช์การแข่งขันที่โคตรตื่นเต้นตลอดทั้ง 90 นาที เพราะทั้ง เยอรมัน และ ฝรั่งเศส ต่างมีดีกรีที่ไม่มีใครเป็นรองใคร และพร้อมเดินหน้าเกมบุกใส่ทั้งคู่ ไม่มีตั้งรับอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เยอรมัน ใช้ลูกทีเด็ดจากลูกตั้งเตะอีกครั้ง เมื่อ โทนี่ โครส หยอดไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะเป็น มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ โขกเต็มหัวให้ "อินทรีเหล็ก" นำไปก่อน 1-0 ตั้งแต่นาที 13 จากนั้นเกมเปิดทันที เรียกได้ว่า "บุกมาบุกกลับไม่โกง" แต่เป็นนายทวารทั้ง 2 ทีมอย่าง มานูเอล นอยเออร์ และ อูโก้ ยอริส แสดงความเหนียวเรียกพี่ ออกมาช่วยทีมได้ทั้งคู่ จนกระทั่งครึ่งหลัง "ตราไก่" มีโอกาสตีเสมอสุดๆ เมื่อ คาริม เบนเซม่า ได้บอลในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย กดเต็มข้อแสกหน้า นอยเออร์ แต่!!!บอลไปชนคาน สุดท้ายตามไม่ทัน เป็น เยอรมัน ชนะไป 1-0 ตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับเจ้าภาพ บราซิล รอบรองชนะเลิศ vs บราซิล เกมนี้นับว่าเยอรมัน ต้องแบกรับความกดดันให้ได้ เพราะต้องเจอกับ บราซิล ซึ่งมีกองเชียร์เต็มสนาม และถึงแม้คู่แข่งจะไม่มี เนย์มาร์ ซึ่งบาดเจ็บกระดูกสันหลัง จากการโดน ฮวน ซูนิก้า กระโดดเข่าลอยในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่บรรยากาศต่างๆ รวมถึงแข้ง "แซมบ้า" ก็พร้อมร่วมแรงร่วมใจสู้เพื่อ เนย์มาร์ เต็มที่ จนไม่มีใครกล้าคิดว่าสกอร์มโหฬารมันจะเกิดขึ้น เมื่อ เยอรมัน ดันฟอร์มเข้าฝัก "ยิงตรงกรอบเมื่อไหร่ เป็นประตูเมื่อนั้น" ไล่ถลุง บราซิล ยับเยิน 7 ลูก ไล่มาตั้งแต่ โธมัส มุลเลอร์, มิโรสลาฟ โคลเซ่, ซามี่ เคดิร่า ส่วน โทนี่ โครส กับ อันเดร เชือร์เล่ กดคนละ 2 ประตู นำขาดลอยถึง 7-0 เล่นเอาน้ำตานองทั้งแผ่นดิน บราซิล เพราะความคาดหวัง ทำให้ต้องเจอกับความผิดหวังที่มากกว่า โดย บราซิล มาได้ประตูปลอบใจช่วงท้ายเกมจาก ออสการ์ แพ้ไป 1-7 นับเป็นความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับสุดของทัพ "แซมบ้า" และยิ่งไปกว่า โคลเซ่ ทำลายสถิติดาวซัลโวตลอดกาล ฟุตบอลโลก ของ โรนัลโด้ ตำนานดาวยิง ลงด้วยจำนวน 16 ประตู รอบชิงชนะเลิศ vs อาร์เจนติน่า เชื่อว่าแฟนๆชาวขอบสนามคงจำแต่ล่ะเหตุการณ์นัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2014 ระหว่าง เยอรมัน กับ อาร์เจนติน่า ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเอ่ยชื่อ กอนซาโล่ อิกวาอิน หัวหอกทัพ "ฟ้า-ขาว" เพราะมีโอกาสซัดประตูขึ้นนำ "อินทรีเหล็ก" หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ทำผิดพลาดไปอย่างง่ายๆ ทั้งๆที่มีจังหวะหลุดเดี่ยวด้วยซ้ำ ส่วน เยอรมัน ช่วงเวลา 90 นาที โชคก็ไม่เข้าข้างเท่าไหร่ เพราะจังหวะโหม่งชนะเสา บอลไปกลิ้งอยู่ตรงหน้าปากประตู ไม่มีใครวิ่งเข้ามาซ้ำ หมดเวลาเสมอกัน 0-0 ต้องไปต่อเวลาพิเศษ ซึ่งขณะนั้น โยอัคคิม เลิฟ ส่ง มาริโอ เกิทเซ่ ลงมาเพื่อหวังเป็นซูเปอร์ซัพ และมันก็ได้ผล เมื่อ เกิทเซ่ เป็นคนทำประตูชัยให้ "อินทรีเหล็ก" นาที 113 เอาชนะ อาร์เจนติน่า 1-0 สำเร็จ คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 มาครอง สลัดภาพการเป็นเพียงแค่พระรองได้เสียที และหนึ่งในโมเมนท์ ที่ยังตราตรึงแฟนบอล ขณะ เยอรมัน กำลังฉลองแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 ก็คงต้องเป็นบรรดาแฟนสาวของแข้ง "อินทรีเหล็ก" ซึ่งตามมาเชียร์ถึงขอบสนาม โดยเฉพาะคนรักของ ยูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ นับเป็นความทรงจำดีๆที่เกิดขึ้นบนเวที "เวิลด์ คัพ 2014" ก่อนที่มหกรรมลูกหนังแดน รัสเซีย จะเริ่มขึ้น
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline