คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ต่างก็แบกชาติไม่ไหว กอดคอกันร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกฟุตบอลโลก 2018 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ซีอาร์ 7" ในวัย 33 ปี ฟุตบอลโลกหนนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาก็ได้ เพราะ 4 ปีข้างหน้าก็จะอายุปาเข้าไป 37 ปีแล้ว ส่วน เมสซี่ ตอนนี้ 31 ขวบ 4 ปีข้างหน้า อาจจะยังพอไหว แต่จะน้อยใจประกาศเลิกเล่นทีมชาติก่อนหรือป่าวก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้ทั้งคู่ประสบความสำเร็จแทบจะทุกอย่างบนโลกลูกหนังแล้ว เหลือปมคาใจที่ไม่น่าเชื่อว่า ยอดมนุษย์แห่งยุค 2 คนนี้ จะไม่เคยได้สัมผัสแชมป์โลก แต่การไม่ได้แชมป์โลกมันก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ไม่ใช่เครื่องมือชี้วัดความยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น วันนี้ผมจะพามาดู 5 อดีตนักเตะดังที่ไม่เคยได้แชมป์โลก แต่ก็ยิ่งใหญ่ได้ทั้งในสมัยค้าแข้งอยู่ และหลังค้าแข้ง จนถูกยกให้เป็นตำนานตลอดกาล ตำนานแนวรับของสโมสร เอซี มิลาน เล่นให้ทัพ "ปีศาจแดง-ดำ" เพียงสโมสรเดียวตลอดอาชีพค้าแข้ง รวมทั้งสิ้น 24 ปี ลงเล่นไปถึง 902 นัด คว้าแชมป์มาประดับบารมีมากมาย หลักๆ เลยก็ สคูเด็ตโต้ 7 สมัย กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 5 สมัย ส่วนในนามทีมชาติลงเล่นไป 126 นัด แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยคว้าแชมป์อะไรกับทัพ "อัซซูรี่" ได้เลย เป็นรองแชมป์โลกเมื่อปี 1994 ปี 1990 ก็ได้ที่ 3 ขนาดศึกยูโร ก็ยังได้แค่รองแชมป์เมื่อปี 2000 อะไรๆ ก็ดูไม่เป็นใจให้น้าแกประสบความสำเร็จกับทีมชาติเลย เจ้าตัวประกาศเลิกเล่นทีมชาติไปหลังจบศึกฟุตบอลโลก 2002 ด้วยวัย 34 ปี ซึ่ง 4 ปีถัดมา อิตาลี คว้าแชมป์โลก! ปัจจุบันสโมสร เอซี มิลาน ประกาศรีไทร์เสื้อหมายเลข 3 ที่ มัลดินี่ สวมลงเล่นสมัยค้าแข้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่ากันว่าหากลูกชายของเขา หรือคนในตระกูล มัลดินี่ ได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของทัพ "ปีศาจแดง-ดำ" ก็อาจได้รับอนุญาตให้สวมใส่ก็เป็นได้ ตำนานแข้งทีมชาติฮอลแลนด์ ผู้ล่วงลับ คือหนึ่งในยอดนักเตะที่คนทั้งโลกให้การยอมรับ ทั้งฝีเท้าในการค้าแข้ง และฝีมือในการคุมทีม สมัยเป็นนักเตะคว้าแชมป์ลีกกับ อาแจ็กซ์ 8 สมัย แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ อีก 3 สมัย ย้ายมาอยู่กับ บาร์เซโลน่า ก็คว้าแชมป์ลีกได้ และยังมีแชมป์อื่นๆ อีก ขณะที่รางวัลส่วนตัวไม่ต้องพูดถึงหลักๆ ก็ "บัลลง ดอร์" 3 สมัย 1971, 1973 และ 1974 น่าเสียดายตรงที่ความสำเร็จของ ครัฟฟ์ กับทีมชาติฮอลแลนด์ นั้นไม่มีเลย ทำได้ดีสุดคือการเป็นรองแชมป์โลก เมื่อปี 1974 ไปพ่ายให้ เยอรมันตะวันตก ในนัดชิงชนะเลิศ 2-1 ประตู ทีนี้พอแขวนสตั๊ด ก็ผันตัวมาเป็นกุนซือ ผลงานบรรลือโลกคือการพาทัพ "เจ้าบุญทุ่ม" คว้าแชมป์ลีก 4 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกหนึ่งสมัย ส่วนสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้าง ลา มาเซีย แหล่งปลุกปั้นแข้งดาวรุ่งอันโด่งดังของ บาร์เซโลน่า ทุกวันนี้แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อปี 2016 แต่คนลูกหนังต่างก็ยังสรรเสริญในความสามารถและยกให้เป็นแข้งระดับตำนานที่จะอยู่คู่กับประวัติศาสตร์ฟุตบอลไปตลอดกาล เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะเกิดทันดู รุมเมนิกเก้ ลงเล่น แต่รางวัล "บัลลง ดอร์" 2 สมัย ในปี 1980 และ 1981 ก็น่าจะการันตีฝีเท้าของ "รุมเม่" ได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องคว้าแชมป์นั้นไม่ต้องพูดถึงสอยมาครองเพียบ โดยเจ้าตัวเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1974 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ ทีมชาติเยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์โลกมาครองได้ โดย รุมเมนิกเก้ ใช้เวลาแค่ 2 ปีหลังเริ่มต้นอาชีพค้าแข้ง ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ และเริ่มเป็นกำลังหลักชาติอย่าเต็มตัวในศึก "เวิลด์คัพ" 1978 ที่พี่แกซัดไป 4 ลูก แต่ก็ไม่สามารถพา เยอรมันตะวันตก ป้องกันแชมป์ได้ ส่วนปี 1982 และ 1986 ก็เป็นส่วนสำคัญพาทีมเข้าชิง แต่แพ้ในรอบชิงทั้ง 2 หนเลย ความผิดหวังนี้ทำให้เจ้าตัวประกาศเลิกเล่นทีมชาติทันทีหลังจบศึก ฟุตบอลโลก 1986 หยุดสถิติรับใช้ชาติไว้ที่ 95 ซัด 45 ประตู แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้น บอลโลกปี 1990 แชมป์โลกคือ เยอรมันตะวันตก นี่แหละ! วาสนาแกจะไม่ได้แชมป์โลกจริงๆปัจจุบัน "รุมเม่" ในวัย 62 ปี ยังคงครองความยิ่งใหญ่ นั่งแท่นเป็นซีอีโอของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแข้งที่เป็น "เดอะ แบก" ของชาติ ในสมัยที่ยังค้าแข้ง โด่งดังสุดๆ สมัยเล่นให้ ยูเวนตุส คว้า "บัลลง ดอร์" มาได้ 3 สมัย โดยยุคนั้น พลาตินี่ คือจอมทัพ เพลย์เมกเกอร์ผู้คอยสร้างสรรค์เกมให้ทัพ "ตราไก่" แต่เพื่อร่วมทีมยุคนั้น ไม่ค่อยจะอำนวยช่วยเหลือพี่แกสักเท่าไหร่นัก ทำให้ไปได้ไกลสุดในฟุตบอลโลก แค่คว้าที่ 3 ในบอลโลกปี 1986 ส่วนอีกครั้งก็ที่ 4 ในปี 1982 สรุปแล้วลงรับใช้ชาติไป 72 นัด ซัด 41 ประตู หลังจาก แขวนสตั๊ดในปี 1987 เจ้าตัวก็กระโดดมารับงานคุมทีมชาติฝรั่งเศส ทันทีในปีถัดมา คุมไป 4 ปี ไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรมาครองได้ จนขอลาออกไปในปี 1992 ก่อนจะผันตัวไปทำงานใน สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า และได้รับตำแหน่งสูงสุดคือ ประธานยูฟ่า ในปี 2007 ดำรงตำแหน่งทั้งสิ้น 8 ปี เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ทั้งในฐานะนักฟุตบอล และยังยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นประมุขของยูฟ่าเลยด้วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เดวิด เบ็คแฮม นั้นคือ ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลของวงการลูกหนัง ต่อให้คนที่ไม่ดูบอลก็ยังรู้จัก ครั้งนึงร้านตัดผมชายเกิน 90% ต้องมีรูปพี่แกแปะติดผนังเอาไว้ ทุกวันนี้แม้จะเลิกเล่นไป 5 ปีแล้ว แต่ชื่อของพี่แกก็ยังขายได้เสมอ และทำเงินได้ตลอดกับการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่างๆ ไปโชว์ตัวที่ไหนก็มีคนคอยตามกรี๊ดกร๊าดตลอด ส่วนเรื่องฝีเท้ามีหลายคนค่อนขอดว่า ไม่ได้เก่งอะไรเลย ดังได้เพราะหน้าตา และควรไปเป็นนายแบบหรือเซเลปให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ขอโทษนะครับ "พี่เบ็คส์" นี่ดีกรี อันดับ 2 รางวัล "บัลลง ดอร์" เมื่อปี 1999 นะครับ และถ้าไม่เก่งไม่แน่จริง คงไม่ได้อยู่กับทีมระดับแถวหน้าของโลกทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, เอซี มิลาน และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรอก แถมคว้ามาประดับบารมีเพียบ ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็สอยมาแล้ว มาว่ากันถึงผลงานในทีมชาติของ พ่อหนุ่มเบ็คส์ หน่อยละกัน เจ้าตัวเคยได้รับหน้าที่ให้เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษด้วย ติดธงไป 115 นัด ซัด 17 ประตู ได้เล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 3 หน ครั้งแรกเมื่อปี 1998 ที่ฝรั่งเศส จอดป้ายรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วน ปี 2002 และ 2006 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเห็นมั้ยครับ แชมป์โลก ไม่ใช่เครื่องชี้วัดความยิ่งใหญ่ และความสำเร็จของนักเตะ ฉะนั้น ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่ต้องคิดมาก ต่อให้ไม่ได้แชมป์โลก คุณทั้งคู่ก็ได้อยู่ในจุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุุดของวงการลูกหนังโลกแล้ว
ชิน ชินพัฒน์