logo-heading

ทันทีที่ลูกบอลถูกเขกเปลี่ยนทางโดยหัวของ ศุภชัย ใจเด็ด กองหน้าวัยเพียง 19 ปี เข้าประตูไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นั่นคือ วินาทีชี้เป็นชี้ตายต่อการเข้ารอบน็อคเอาท์ของทีมชาติไทย ในศึกฟุตบอล เอเชี่ยนเกมส์ 2018 เลยทีเดียว

ทีมชาติไทย ไร้แต้มแบบเรียลไทม์ ตั้งแต่นาทีที่ 5 ของการแข่งขัน นัดเปิดสนาม กลุ่ม บี กับทีมชาติกาตาร์ หลังความผิดพลาดเล็กน้อยช่วงต้นเกม จนเวลาเดินทีละวินาที ทีละวินาที ผ่านมากว่าชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงเวลาสิ้นสุดการรอคอยแห่งความพยายาม หลังจากได้ประตูตีเสมอ เมื่อเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 1 แต้ม ที่สำคัญเหลือเกิน เพราะหากทีมชาติไทยพ่ายแพ้ อีกสองนัดที่เหลือจะกดดันมาก ซึ่งแม้จะชนะ บังคลาเทศ ได้ ก็ต้องลุ้นให้มีแต้มในเกมสุดท้ายกับ อุซเบกิสถาน ซึ่งเป็นแชมป์เอเชียทีมล่าสุดของรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีด้วย 1 แต้มจากเมื่อวาน ทำให้ทีมชาติไทย หากเอาชนะบังคลาเทศได้ ก็แทบจะผ่านเข้ารอบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างแย่ที่สุด ก็คงเป็นอันดับสามที่ดีที่สุด ที่มี 4 แต้ม

ฉะนั้น จะไม่พูดถึง “ศุภชัย ใจเด็ด” ฮีโร่คนนี้ก็คงไม่ได้

หัวหอก 19 กะรัต เพชรเลอค่าผู้มากับคลาสฟุตบอลอันสูงส่ง.. “เจ้าอาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด เกิดและเติบโตที่จังหวัดปัตตานี เมื่อปี 1998.. ซึ่งบนดินแดนด้ามขวานไทยแห่งนี้ ใครเล่าจะรู้ว่า มีเพชรเม็ดงามกำลังบ่มเพาะศาสตร์ลูกหนังจนเก่งเกินตัว เกินวัย และเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด จากจังหวัดปัตตานี เจ้าอาร์มถูกฝึกสอนโดยอาจารย์ เสรี เบญอาเหม็ด ที่เป็นโค้ชฟุตบอลคนแรกของเขา ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจเดินทางสู่เมืองฟ้าแดนอมรที่ศิวิไลซ์ และใหญ่เหลือเกิน หากเทียบกับที่ที่เขาจากมา ด้วยการมาคัดตัวเป็นทีมโรงเรียนปทุมคงคา หรือที่แฟนบอลนักเรียนจะรู้จักกันในฉายาว่า “สิงห์เอกมัย” หนึ่งในโรงเรียนราชาขาสั้นของเมืองไทย ด้วยความที่ตัวเล็ก ผอมแห้ง แรงน้อย บางเบา ทำให้เขาไม่ได้ถูกส่งสนามบ่อยอย่างที่ใจเพรียกหา แถมยังถูกโยกไปเล่นกองกลางตัวรุกบ้าง กองกลางตัวรับบ้าง อีกด้วย แต่ด้วยความพยายาม ความมานะ ความอดทน และความมุ่งมั่น ในที่สุด ศุภชัย ใจเด็ด ก็แสดงให้เห็นว่า บนความผอมบาง เขามีสิ่งหนึ่งที่มาทดแทน นั่นคือ “ใจเด็ด และพรสวรรค์” ศุภชัย เริ่มต้นแตะสัมผัสความเป็น “ช้างศึก” ด้วยการเป็นตัวเลือกของทีมชาติไทย ชุด ยู-14 และเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ติดทีม ในชุด ยู-19 ชิงแชมป์อาเซียน ที่เจ้าตัว และผองเพื่อนวันเดอร์คิดอย่าง วรชิต กนิษศรีบำเพ็ญ และ สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ พาทีมชาติไทย คว้าแชมป์ได้ เมื่อปี 2015 ภายใต้การคุมทีม “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ในวัย 17-18 ปี “เจ้าอาร์ม” ได้เริ่มต้นเล่นไทยลีกกับ โอสถสภาฯ ซึ่งเขามีทีเด็ดประจำตัวคือ กองหน้าเต็มใช่ไหม ผมเล่นกองกลางได้นะ ตัวรุกก็ได้ ตัวรับก็ได้ ฉะนั้น เราจึงได้เห็นเขาเล่นสองตำแหน่งในเกมเดียวอยู่ประจำ นั่นคือ กองหน้า และ กองกลางตัวรับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นักเตะหนึ่งคนจะสามารถเล่นสองตำแหน่งนี้ได้ดี และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น จากโอสถสภา ทีมเก่าแก่ที่จากไปแล้ว... ศุภชัย ย้ายค่ายมาอยู่กับ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่จากภาคอีสาน และด้วยความใจเด็ด กับ “น้ำไม่เคยเต็มแก้ว” เขาได้ตักตวงวิชา, กลยุทธ์ และเทคนิคชั้นสูงจากเหล่ากองกลาง กับ กองหน้าของ “เซราะกราว” โดยเฉพาะ “เทพเจ้าสายฟ้า” ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ ดาวเตะผู้ไม่เคยหวงวิชา ซีซั่นนี้ ศุภชัย ใจเด็ด ในวัยยังไม่เต็ม 20 ปี เขาได้ลงเล่นในไทยลีกกับทีมจ่าฝูงไปถึง 24 เกม และยังได้ลงสนามในเกม เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกถึง 7 นัด ทั้งในรอบแรก และรอบน็อคเอาท์ ความสมบูรณ์ที่มีทั้งหมดในตัว ทำให้เขาสามารถปีนรุ่นขึ้นมาเล่นทีมชาติไทย ชุด ยู-23 ในศึกเอเชี่ยนเกมส์ได้แบบไม่เคอะเขิล แม้ต้องแบกรุ่นกว่า 3 ปีก็ตามที หัวหอก 19 กะรัต เพชรเลอค่าผู้มากับคลาสฟุตบอลอันสูงส่ง.. “แม้จะต้องเริ่มต้นที่ม้านั่งสำรอง แต่โอกาสก็ไม่เคยปฏิเสธคนที่พร้อมอยู่เสมอ” เกมเมื่อวาน ศุภชัย ใจเด็ด ถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 46 แทนที่ของ สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ โดยเขาทำหน้าที่กองกลางตัวรุกแทนที่ของ วรชิต กนิษศรีบำเพ็ญ ซึ่งลงต่ำมาเป็นตัวโฮลด์ดิ้งบอล แพรวพราว, เทคนิคดี, ครองบอลดี, เสียบอลยาก, ไปกับบอลได้ดี, เลี้ยงกินตัวได้, หาจังหวะยิงดี, หาพื้นที่ดี, ดึงตัวประกบได้ และโหม่งทำประตูตีเสมอ… นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 45 นาทีหลัง หลังจากที่เจ้าอาร์มถูกส่งลงสนาม สิ่งที่ศุภชัยทำให้เห็น สามารถตอบโจทย์ของคำถามโลกแตกบางคำถามไปได้เลยว่า หมดจาก ธีรศิลป์ แดงดา แล้ว ประเทศไทยจะมีกองหน้าสไตล์ “คลาสสูง” เกิดขึ้นอีกไหม

คำตอบก็คือมีครับ ผมมั่นใจ เพียงแต่ตอนนี้ เขาไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย เขาอยู่ที่ “ประเทศอินโดนีเซีย” ครับผม….

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline