logo-heading

พลันที่ฟุตบอลทีมชาติไทยตกรอบแรกในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ “จาการ์ตา & ปาเลมบัง 2018” ที่อินโดนีเซีย เสียงด่าสนั่นก็ตามมาในทันควัน

ผลงานของนักเตะไทยในเอเชี่ยนเกมส์ที่แดนอิเหนาต้องยอมรับว่า “น่าผิดหวัง” จริงๆนั้นละครับ ถ้าจะบอกว่า “ล้มเหลว” คงไม่ผิด เพราะไม่ตรงตามเป้าหมาย แต่ในความน่าผิดหวังและล้มเหลวมันมีเหตุและผลของมันอยู่ ดังนั้นถ้าถามว่า “ใครต้องรับผิดชอบ” ขอตอบเลยว่าทั้ง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ ผู้ฝึกสอน ไล่เรียงสาเหตุที่ทำให้ทีมชาติไทยพังไม่เป็นท่ากันก่อน นี่คือ “ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่ “ข้ออ้าง” เคยบอกไว้ตั้งแต่ก่อนแข่งแล้วว่าอะไรคืออะไร ไม่ใช่เพิ่งมาวิพากษ์หลังแข่ง ปัญหาหลักเลยคือ “การเตรียมทีม” ที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ภายใต้การนำนาวาของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ เรื่องนี้มัน “ผิดแผน” ตั้งแต่ที่จะ “ไม่หยุดลีก” แต่สุดท้ายต้อง “หยุดลีก” แล้ว เพราะโปรแกรมแข่งขันภายในประเทศต้องขยับใหม่วุ่นวายกันหมด การหยุดลีกอาจจะได้นักเตะตัวหลักของสโมสรไปจริง แต่บางคน “แทบไม่มีสภาพ” เนื่องจากโปรแกรมลีกและฟุตบอลถ้วยถูกขยับทั้งร่นเข้ามาและถ่างออกไป นักเตะจากบางทีมต้องลงเตะทั้งลีกและฟุตบอลถ้วยไปควบคู่กัน บางทีมต้องเล่นถึง 5 นัดในรอบ 15 วัน เพราะเตะสัปดาห์ละ 2 วันติดๆกัน 3 สัปดาห์ นอกจากนี้การหยุดลีกยัง “หยุดเพื่อไปแข่งขันเท่านั้น” ส่วนระยะเวลาฝึกซ้อมแทบไม่มี นักเตะได้รวมตัวกันจริงๆเพียงแค่ 3 วันก่อนเดินทางไปอินโดนีเซีย นักเตะถึง 9 คนต้องไปเล่น “ลีกคัพ” ในวันพุธก่อนที่พฤหัสบดีจะเข้าแคมป์ทีมชาติไทย หลังจากนั้นวันอาทิตย์จึงออกเดินทางไปอินโดนีเซีย ได้ซ้อมอีก 2 วันก่อนลงแข่งขันนัดแรก แต่ประทานโทษเถอะ ไปถึงอินโดนีเซียวันแรกยังไม่ครบทีมเลยเพราะมีติดแข่งขัน “ไทยลีก 2” ให้ต้นสังกัดด้วยอีก 1 ราย เท่ากับว่าได้เต็มทีมจริงๆคือก่อนแข่งวันเดียวเท่านั้น !!! บอลไทยเอาไงต่อ ? นี่คือข้อเท็จจริงในเรื่องการเตรียมทีมที่ สมาคมกีฬาฟุคบอลฯ ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ ส่วน “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ในฐานะผู้ฝึกสอนต้องรับผิดชอบผลงานด้วยแน่นอน เพราะทีมตั้งเป้าหมายที่การเก็บ 4 แต้ม แต่ทำได้แค่ 2 แต้มเท่านั้น ทีมชาติไทยเล่นดีกับ กาตาร์ เล่นแย่มากๆกับ บังกลาเทศ และฮึดไม่ขึ้นกับ อุซเบกิสถาน การเสมอ บังกลาเทศ คือความเสียหายมากที่สุด เพราะ 1 แต้มจาก กาตาร์ ถือว่าตามเป้า ส่วนความพ่ายแพ้ต่อ อุซเบกิสถาน นั้นตามสภาพอยู่แล้ว ทีมชาติไทยเก็บได้แค่ 2 แต้มก็สมควรแล้วที่จะตกรอบแรก ส่วนการเลือกตัวผู้เล่น การจัด 11 คนแรก แทคติกต่างๆเป็นการตัดสินใจของโค้ช เมื่อผลการแข่งขันออกมาอย่างไรต้องรับผิดชอบไปตามนั้น “โค้ชโย่ง” ก็ต้องยอมรับตามนี้

แต่อย่างที่บอกครับว่าทุกอย่างมีเหตุและผลของมันที่จะต้องนำมาพิจารณาเพื่อมองไปข้างหน้าต่อว่า “ฟุตบอลไทยเอาไงต่อ”

ต้องเข้าใจว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พยายายามเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ มุ่งเป้าที่ทัวนาเมนต์ใหญ่ “โอลิมปิก 2020” จึงไม่คิดหยุดลีกตั้งแต่แรก อีกทั้งการหยุดลีกมีผลกระทบตามมามากมาย แต่เมื่อเจอแรงกดดันที่ต้อง “จำยอม” จึงต้องหยุดลีก แต่ผู้เล่นยังเน้นเอานักเตะอายุไม่เกิน 21 ปีไปเล่นเพื่อเป้าหมายระยะยาว นี่คือเหตุผลที่ไม่ใช้ “โควตาอายุเกิน 3 คน” “โค้ชโย่ง” ไม่ได้อวดดีหรืออวดเก่ง แต่เป็นนโยบายและแผนที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ วางไว้ นักเตะเอเชี่ยนเกมส์ชุดนี้จึงมีถึงครึ่งทีมที่สามารถลุยต่อได้ใน “ปรีโอลิมปิก” ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับแนวทางนี้และไม่คิดว่าการตกรอบเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้จะเป็นความตกต่ำของฟุตบอลไทยแบบย่อยยับอย่างที่ว่าๆกัน แน่นอนละว่าตกรอบแรกเอเชี่ยนเกมส์มันมีความเสียหาย โดยเฉพาะกระแสแฟนบอล แต่ประเด็นอยู่ที่ “เราทำอะไรอยู่ และคาดหวังอะไร” มากกว่า เอเชี่ยนเกมส์ไม่ใช่ทัวนาเมนต์ “เมเจอร์” ของโลกฟุตบอล บางชาติมองข้ามไปแล้ว ยกตัวอย่าง ญี่ปุ่น ใช่จะประสบความสำเร็จเสียที่ไหน แต่ตีตั๋วปีไปโอลิมปิกเกมส์มาตลอด มาตรฐานของทัวนาเมนต์เป็นอีกเรื่องที่ต้องคิดกันให้ดีๆ ชาติที่เป็น “บอลรอง” เอาชนะชาติใหญ่ๆได้ในเอเชี่ยนเกมส์ แต่พอถึงเกมเมเจอร์มีแบบนี้ให้เห็นสักแค่ไหนเชียว บางประเทศไปไกลถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายหรือทำผลงานได้หรูในเอเชี่ยนเกมส์ แต่พอไปทัวนาเมนต์เมเจอร์อย่าง “เอเชี่ยนคัพ” หรือชิงแชมป์เอเชียร่วงรอบแรกประจำ !!! ดังนั้นหากถามว่าฟุตบอลไทยจะเอาไงต่อหลังจากนี้ก็คงต้องพิจารณากันให้รอบด้านว่าสิ่งที่ทำอยู่ใช่แนวทางที่ถูกต้องหรือไม่ หรือจะย้อนกลับไปทำตามแนวทางและวิธีการแบบเดิมๆ อัลเบิร์ต อัลสไตน์ บอกว่า “มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำสิ่งเดิมซ้ำๆแล้วหวังลัพธ์ที่แตกต่าง” แล้วฟุตบอลไทยละจะเอาไงต่อดี ?

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline