logo-heading

ชัยชนะเหนือ ฮ่องกง 1-0 ที่มงก๊ก สเตเดี้ยม และ อีกหนึ่งชัย ณ สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี เหนือ ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก 1-0 ของทีมชาติไทย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะทำให้ มิโลวาน ราเยวัช เฮ้ดโค้ชทีมชาติไทย มองเห็นข้อดีข้อด้อยของนักเตะแต่ละคนที่เขาส่งลงพิสูจน์ฝีเท้าในสนาม

จนเป็นที่มาของการตัดตัวจาก 50 รายชื่อที่ส่งลงทะเบียนสำหรับการแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 สู่ 27 รายชื่อสุดท้าย ก่อนตัดครั้งสุดท้ายเหลือ 23 รายชื่อแบบออฟฟิเชี่ยลจริงๆ

จากผลงานสองเกมที่จบลงด้วยชัยชนะช่วงฟีฟ่าเดย์ ที่มีคะแนนแรงกิ้งเป็นผลตอบแทน จากผลงานเก็บคลีนชีตทั้งสองนัด ทั้งที่มีการเปลี่ยนผู้รักษาประตู และ แผงกองหลังมากกว่าครึ่ง

เราขอลองเดาใจ 11 ตัวจริงของ มิโลวาน ราเยวัช กันดีกว่าว่า เขาจะส่งใครลงสนามกันบ้างในการป้องกันแชมป์ “ซูซูกิ คัพ 2018” ครั้งนี้

ผู้รักษาประตู

ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) การไม่มี “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ในลิสต์รายชื่อผู้รักษาประตู ก็ทำให้นายด่านคนอื่นๆ ที่ฟอร์มดีในไทยลีกก็ได้โอกาสรับใช้ชาติในครั้งนี้ (ไม่นับ “พี่ตี๋” สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ที่ประกาศอำลาทีมชาติไปแล้ว) แม้จะมีผู้รักษาประตูสามราย แต่ที่แน่ๆ คือ หากไม่มีใครบาดเจ็บ หรือแบน จะเป็นหนึ่งในสองรายนี้เท่านั้น ที่จะได้ลงสนาม นั่นคือ ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน จาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ฉัตรชัย บุตรพรม จาก สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และจากการที่ ศิวรักษ์ ได้โอกาสก่อนในเกมกับ ฮ่องกง จึงมีแนวโน้มว่า เขาน่าจะได้รับโอกาสเป็นมือหนึ่งใน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ครั้งนี้ มากกว่า ฉัตรชัย บุตรพรม

แบ็คขวา

ฟิลิป โรลเลอร์ (ราชบุรี มิตรผล เอฟซี) 1 ประตู 1 คลีนชีตจากเกมบุกชนะ ฮ่องกง 1-0 ก็พิสูจน์ตัวเองได้ดีพอสมควรแล้ว สำหรับการเป็นตัวจริงในตำแหน่งแบ็คขวา ของทีมชาติไทย ชุดนี้ และน่าจะทำให้ มิก้า ชูนวลศรี ดาวเตะลูกครึ่งอีก 1 ราย ต้องรอคอยโอกาสที่ข้างสนามก่อน

แบ็คซ้าย

กรกช วิริยะอุดมศิริ (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) การไม่มี ธีราทร บุญมาทัน เจ้าของสัมปทานในตำแหน่งแบ็คซ้ายของทีมชาติไทย เพราะยังมีโปรแกรมในศึก เจ ลีก 2018 ที่ยังไม่จบฤดูกาล นั่นก็ทำให้ กรกช วิริยะอุดมศิริ และ เควิน ดีรมย์รัม สองแบ็คซ้ายจากทีมหัวตาราง ต้องมาเชือดเฉือนกันเพื่อตำแหน่งตัวจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ลงสนาม จากโอกาสของ กรกช ที่ได้ทำหน้าที่เกมกับ ฮ่องกง ซึ่งมีการโชว์จุดเด่นเรื่องการครอสบอลจากด้านข้างให้เห็นหลายจังหวะ รวมถึงการโอเวอร์แล็ปเติมเกมขึ้นไป และรักษาเกมรับที่ดีพอสมควร ก็ทำให้ “เจ้ามิ้งค์” น่าจะได้วาดลวดลายในตำแหน่งนี้ ก่อน เควิน ดีรมย์รัม ที่ไม่ได้โอกาสในช่วงฟีฟ่าเดย์ที่ผ่านมา

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ

พรรษา เหมวิบูลย์ (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว (นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี) คนนึงได้ลงสนามเต็มๆ สองเกมในช่วงอุ่นเครื่อง ส่วนอีกคนนึงต้องหายไปจากทีม เพราะอาการบาดเจ็บ แต่ในช่วง เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ทั้งสองคนจะได้กลับมาประจำการในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กันอีกครั้งอย่างแน่นอน เพราะในชั่วโมงนี้ คงไม่มีใครจะเข้าคู่กันได้ดีกว่า “โย่ง & เหลิม” อีกแล้ว โดยมี มานูเอล ทอม เบียร์ห และ สุพรรณ ทองสงค์ เป็นตัวแสตนบายข้างสนาม

กองกลาง

ธนบูรณ์ เกษารัตน์ (บางกอกกล๊าส เอฟซี) ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (บางกอกกล๊าส เอฟซี) สรรวัชญ์ เดชมิตร (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด) กองกลางสามรายของ มิโลวาน ราเยวัช นั้น เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย เอาแค่การตัดตัวจากรายชื่อ 50 คนสุดท้าย ก็ว่ายากมากๆ แล้ว การส่งลงสนาม ผมว่า ยากถึงยากมากที่สุดเลยทีเดียว สำหรับกองกลางตัวรับ แน่นอนว่า หากอยู่ในสภาพความฟิตที่เพียงพอ ไม่มีใครเกินเข้าคนนี้แน่นอน สำหรับ “บุสเก็ตต์เมืองไทย” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ซึ่งน่าจะได้ลงสนามก่อน รัตนากร ใหม่คามิ ในตำแหน่งเดียวกัน ส่วนมิดฟิลด์ตัวกลาง ต้องหลีกทางให้กับ “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” อย่างไม่มีข้อสงสัย ในยุคของ ราเยวัช เพราะนี่คือ กองกลางคู่บุญของ “มิโล” เลยทีเดียว ที่เล่นได้ทั้งเกมรุก และเกมรับ ยิงก็ได้ เติมเกมก็ดี วิ่งก็ไม่มีหมด รับก็ดุดัน และนี่คือ “มิดฟิลด์บ็อกซ์ทูบ็อกซ์ที่ดีที่สุดของเมืองไทยในตอนนี้” อีกหนึ่งตำแหน่ง ที่เป็นกองกลางในตำแหน่งการสร้างสรรค์เกมรุก ต้องยอมรับเลยว่า เลือกยากถึงยากมาก… สุมัญญา ปุริสาย ก็ดี โดยเฉพาะผลงานในช่วงครึ่งหลังของเกมชนะ ตรินิแดดฯ หลังจากที่ ชนาธิป เจ้าของตำแหน่งตัวจริง ในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ของทีมชาติไทย ถูกเปลี่ยนตัวออกไป ปกเกล้า อนันต์ ก็เป็นอีกสูตรนึง ที่สามารถส่งลงมาในสนามได้ โดยอาจจะลงมาทำหน้าที่โฮลดิ้งมิดฟิลด์ แล้วดัน ฐิติพันธ์ ขึ้นไปเล่นเกมรุกมากขึ้น อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ก็ดูดีดูเด่นเลยนะ หากได้เล่นร่วมกับ “ตั้ม และ นิว” สองกองกลางจากบางกอกกล๊าส เอฟซี เช่นกัน โดยเขาจะสร้างสรรค์เกมรุกได้แบบอิสระเลย หากมี “พี่นิว กับ พี่ตั้ม” คอยสกรีนเรื่องเกมรับให้ด้านหลัง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมขอเลือก สรรวัชญ์ เดชมิตร ในตำแหน่งเดียวกับ ชนาธิป เนื่องจาก “มันสมอง” และ “ความยืดหยุ่นในตำแหน่ง” … ในมุมของเกมรุก คิลเลอร์พาสส์ของ “เจ้าแคมป์” น่ากลัวเสมอ ซึ่งเป็นบอลที่ออกจากสมอง และใช้เท้าเป็นเพียงแค่เครื่องมือการใช้งาน ส่วนในเรื่องของความยืดหยุ่นในตำแหน่งนั้น “เจ้าแคมป์” สามารถลงมาเล่นมิดฟิลด์ตัวโฮลด์บอลได้ รวมถึงสามารถเล่นมิดฟิลด์ตัวรับได้เหมือนกัน เพราะเคยเล่นมาแล้วในสมัยเด็ก และกับต้นสังกัดอย่าง “แข้งเทพ” ก็เคยเล่นมาแล้วเช่นกัน “ตั้ม, นิว, แคมป์” สามประสานตัวจริงในแดนกลาง จากเกมบุกชนะ ฮ่องกง 1-0 จึงน่าจะกลายเป็นสามมิดฟิลด์ตัวหลักของทีมชาติไทย ในศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ครั้งนี้

กองหน้าฝั่งซ้าย

ชนานันท์ ป้อมบุบผา (สุพรรณบุรี เอฟซี) การทดลองใช้งานเมื่อสองนัดกับ ฮ่องกง และ ตรินิแดดฯ น่าจะพิสูจน์ “ของ” ที่มีในตัว “เจ้าทู” ได้เป็นอย่างดี ในการเล่นกองหน้าทางกราบซ้าย ที่สามารถตะลุยบอลพาเข้ากรอบเขตโทษได้ดี และหุบเข้าเล่นหน้าเป้าได้ด้วย รวมถึงสามารถหักบอลเข้าขวาข้างถนัด แล้วค่อยซัดก็ทำได้ ซึ่งเขาน่าจะได้โอกาสก่อนใครเพื่อนในตำแหน่งนี้

กองหน้าฝั่งขวา

ศศลักษณ์ ไหประโคน (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) เมื่อใช้งานกองหน้าฝั่งซ้ายที่ถนัดขวาแล้ว ก็ต้องใช้กองหน้าฝั่งขวาที่ถนัดซ้าย เพราะจะได้มีการสลับฝั่งเล่นได้ เพื่อเปลี่ยนแทคติกระหว่างเกม ซึ่งก็น่าจะเป็นหน้าที่ของ “เจ้าพี” ศศลักษณ์ ไหประโคน ดาวรุ่งจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายว่า ทำไมเขาจึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ มากกว่าตัวเลือกอื่นๆ อย่าง มงคล ทศไกร และ ปกรณ์ เปรมภักดิ์

กองหน้าตัวเป้า

อดิศักดิ์ ไกรษร (เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด) อันที่จริง ต้องยอมรับว่า ผมชื่นชอบการเล่นของ ศุภชัย ใจเด็ด มากกว่า ในตำแหน่งกองหน้า ที่ต้องหาตัวแทน ธีรศิลป์ แดงดา ที่ยังต้องช่วยทีม ซานเฟรสเซ่ ฮิโรชิม่า คว้าแชมป์เจลีก 2018 อยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากการใช้งาน “กอล์ฟ” อดิศักดิ์ ไกรษร ทั้งสองเกมช่วงอุ่นเครื่อง โดยมีทั้งตำแหน่งริมเส้นกราบขวา และ กองหน้าตัวเป้า ซึ่งทาง มิโลวาน ราเยวัช คงจะได้เห็นแล้วว่า “เจ้ากอล์ฟ” สามารถทำอะไรได้บ้าง ในตำแหน่งที่เป็นความหวังในการพังประตู และอาการบาดเจ็บของเจ้าตัว เข้าที่แค่ไหนแล้ว หากเขาไม่ฝากความหวังการเล่นหน้าเป้าไว้ที่ “เจ้ากอล์ฟ” ก็คงไม่ส่งลงสนามทั้งสองเกม แต่ถ้า อดิศักดิ์ ยังไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีพอได้ “เจ้าอาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด ก็รอโอกาสอยู่เสมอ กับการพังประตูแรกในนามทีมชาติชุดใหญ่...

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline