logo-heading

เปิดฉากเสริมทัพอย่างเร้าใจเลยสำหรับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ชนิดที่ไม่ต้องรอให้ฤดูกาลจบเสร็จสิ้นแบบสมบูรณ์ เพราะยังมีเกมรอบชิงชนะเลิศ ช้าง เอฟเอคัพ 2018 รออยู่ ในช่วงค่ำของวันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม นี้ด้วยซ้ำ

โป้งแรก ก็เล่นเอาซะสะเทือนไปเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะจัดการติดสัญญาณแรงด้วยการคว้าตัว 3 นักเตะดีกรีทีมชาติไทย ทั้ง “บาส” พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา ผู้เล่นทางกราบซ้าย ที่เล่นได้ทั้งตัวบน และตำแหน่งแบ็ค, ทริสตอง โด แบ็ค และปีกขวาลูกครึ่งจอมขยัน โดยสองรายนี้มาจาก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ด้วยสนนราคาที่สื่อคาดการณ์กันว่า รวมกันอยู่ที่ 35 ล้านบาท ส่วนอีกราย ก็คือ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ มิดฟิลด์ตัวรุกร่างเล็กจากกุชชี่แกงค์ วัย 20 ปี ที่ย้ายมาจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวที่น่าจะอยู่ที่ราวๆ 18-20 ล้านบาท

3 คนแรก ก็เกิน 50 ล้านบาทเข้าให้แล้ว…

นี่ยังไม่นับ เนลสัน โบนีญ่า หัวหอกชาวเอลซัลวาดอร์ จากสุโขทัย เอฟซี ที่กดไป 25 ประตูเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นรายต่อไปที่ใกล้จะเปิดตัวในไม่ช้าจากการเปิดเผยเองของ ขจร เจียรวนนท์ บิ๊กบอสใหญ่ของ “แข้งเทพ” แถมยังแย้มอีกว่า จะทำการดึงตัว จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ กลับจากการยืมตัวไปอยู่กับ สโมสร เอฟซี โตเกียว รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เอาง่ายๆ ที่เห็นๆ ก็มีแน่นอน 5 คนใหม่ที่จะเข้ามาเสริมเติมขุมกำลังให้ “บียู” แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และก็เชื่อเหลือเกินว่า ยังไม่หมดแค่นี้แน่ๆ โดยยังจะมีนักเตะในโควตาเอเชียอีกอย่างน้อย 1 ราย ที่มีดีกรีเป็นนักเตะทีมชาติ รวมถึงโควตาอาเซียนอีกที่อาจจะมีเข้ามาอีก และแม้แต่ตัวนักเตะไทยก็เถอะ ผมยังเชื่อลึกๆ ว่า ไม่หมดเท่านี้แน่ๆ เพราะนี่ยังเหลือเวลาอีกเพียบ ก่อนที่ตลาดนักเตะประจำฤดูกาล 2019 จะปิดลง

เปลี่ยนแปลงแทบยกทีมขนาดนี้ เพื่ออะไร?

ในโลกของฟุตบอลลีกสมัยใหม่ เงินไม่สามารถซื้อเวลาให้ย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้ แต่เงินสามารถซื้อความสำเร็จในอนาคตได้ จะมาเร็วหรือมาช้า ก็ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินที่คุณมี แมนฯ ซิตี้ ในยุคของพลังเงินจากดินแดนอาหรับ เชลซี ในวันที่เสี่ยจากรัสเซียเข้ามาฮุบทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมงต์ ในวันที่สามารถทำให้ลีกเอิง กลายเป็นลีกที่ง่ายมากๆ สำหรับทีมของพวกเขา หรือแม้กระทั่ง ทีมดังๆ ในลีกจีน ทั้งหมดต่างก็ตัดสินใจใช้เม็ดเงินทุ่มซื้อความสำเร็จทั้งนั้น แล้วมันจะแปลกอะไรกับทีมในเมืองไทยที่มีฐานกำลังเงินสูงลิบลิ่วจากบริษัทโทรคมนาคม และการสื่อสารชั้นนำของประเทศ แน่นอนครับ “ความสำเร็จ” คือสิ่งที่ผู้บริหารของ “บียู” คาดหวังเอาไว้จากการระดมเม็ดเงินทุบกระปุกครั้งใหญ่ขนาดนี้ “ความสำเร็จ” ที่ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ถวิลหามานาน ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปี ที่แล้ว ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เคยมีชื่อทีมว่า มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งมีชื่อย่อว่า “บียู” เหมือนกัน ม.กรุงเทพ ในสมัยนั้น เคยหาญกล้าหักปากกาเซียนด้วยการคว้าแชมป์ไทยลีก 2006 มาได้อย่างน่าประทับใจ และทำให้พวกเขาสามารถผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มของศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ ในปี 2007 แต่เชื่อหรือไม่ว่า นั่นคือ ความสำเร็จระดับเมเจอร์ครั้งสุดท้ายของ “แข้งเทพ” จาก ม.กรุงเทพ สู่สโมสร แบงค็อก ยูไนเต็ด ก่อนจะเป็น ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน ซึ่งมีกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ให้การสนับสนุนอย่างเต็มตัว เมื่อ 6 ปีที่แล้ว …

6 ปีหลังที่ผ่านมา พวกเขาเคยแตะเข้าใกล้แชมป์ไทยลีกใกล้เคียงสุด คือ ตำแหน่งรองแชมป์ 2 สมัย ในปี 2016 กับ 2018 ปี 2016 พวกเขามีคะแนนน้อยกว่า เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด อยู่ 5 คะแนน ปี 2018 พวกเขามีคะแนนน้อยกว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อยู่ 16 คะแนน แม้จะมีฟอร์มการเล่นที่ดีแค่ไหน แต่ฟุตบอลลีก จะไม่มีเบอร์หนึ่งถึงสองทีม

ในส่วนของฟุตบอลถ้วย พวกเขาก็ไปได้ไกลสุดก็แค่รองแชมป์เหมือนกัน ในศึกเอฟเอคัพ 2017 ที่พ่ายให้กับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 2-4 เมื่อปีที่แล้ว แถมในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ นั้น พวกเขายังต้องอกหักไปหมาดๆ เมื่อต้นปีที่แล้ว หลังพ่ายให้กับ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม จาก มาเลเซีย ในการดวลลูกโทษ ทำให้ตกรอบเพลย์ออฟตั้งแต่รอบที่สอง คาบ้านของตัวเอง แต่แม้จะเจ็บไปเจ็บมาก็ทุกที อกหักซ้ำแล้วก็ซ้ำเล่า .. แต่เมื่อยังมีความหวัง และยังมีความฝันอยู่ ทั้งการคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ในประเทศ รวมถึงการลงเล่น เอซีแอล รอบแบ่งกลุ่ม ก็ทำให้ “ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด” ตัดสินใจขอทุ่มอีกสักครั้ง

เพื่อให้ได้เป็นพระเอกจริงๆ สักที ไม่ใช่แค่พระรอง เหมือนที่เคยเป็นมา…

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline