logo-heading

แม้จะยังไม่มีการประกาศแบบ 100% เต็มออกมาจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย แต่ทว่าก็แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจากการคาดการณ์ของสื่อต่างๆ ว่า ทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี จะมีนายใหญ่คนใหม่ที่ชื่อว่า “อเล็กซานเดร กาม่า” อดีตกุนซือของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

การเข้ามาของเฮ้ดโค้ช วัย 50 ปี ผู้กำเนิดที่กรุง ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ประเทศที่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว 5 สมัย จะแปรเปลี่ยน “ความคาดหวัง” ในการลุยศึกโอลิมปิก เกมส์ 2020 เป็น “ความจริง” ได้หรือไม่? เราเองก็ยังไม่รู้ เพราะนั่นคือเรื่องของอนาคต แต่เท่าที่เห็นในปัจจุบัน แม้จะยังไม่เปิดตัว ทว่ากลับมีแรงสนับสนุนที่มีต่อเขาอย่างมากมาย และล้นหลาม ทำไมเขาถึงเหมาะสมกับทีมชาติไทย ชุดนี้ ทำไมแฟนบอลถึงตอบรับกาม่า ในเชิงบวก ทำไมทีมชาติไทย ชุด ยู-23 จะไปได้ไกล เราลองไปหาคำตอบกันเลย…

รู้จักเด็ก และเข้าใจวัฒนธรรมฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี

กว่า 4 ปี ที่ กาม่า เข้ามาทำงานในประเทศไทย แบ่งออกเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำนวนประมาณ 2 ปี (2014-2016) และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด อีกประมาณ 2 ปีนั้น (2017-2018) เขาทำงานร่วมกับนักเตะไทยมามากมาย ในสโมสรที่ถือว่า มีนักเตะที่อยู่ร่วมกับทีมชาติไทย ชุดเยาวชนค่อนข้างเยอะ ทั้ง “ปราสาทสายฟ้า” และ “กว่างโซ้งมหาภัย” นอกจากจะรู้ซึ้งถึงความสามารถของเด็กแต่ละคนแล้ว (ที่ไม่ใช่แค่รู้จักนักเตะของทีมตัวเองด้วย) เขายังจะรู้ในเรื่องของนิสัยใจคอ และวัฒนธรรมฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ การทำงานของเขาในประเทศไทย ค่อนข้างมีผลงานไปในทางบวก จนสามารถกลายเป็นเฮ้ดโค้ชที่คว้าแชมป์ได้มากที่สุดในสารบบฟุตบอลไทย นับตั้งแต่ที่มีลีกอาชีพ

4 ปี ครึ่ง : 12 แชมป์เป็นที่ประจักษ์

แน่นอนว่า คุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และหากคุณเป็นโค้ชฟุตบอล คุณค่าของคุณ ก็ย่อมอยู่ที่ผลงานการคุมทีม และจำนวนแชมป์คือตัวบ่งบอกผลงานได้ดีที่สุดอย่างหนึ่ง กับสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2014-2016 จำนวน 8 แชมป์ และกับสโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2017-2018 จำนวน 4 แชมป์ รวมเป็น 12 แชมป์ …. นี่คือ สิ่งที่เขาสร้าง และมันเรียกได้ว่าตำนานเลยก็ว่าได้ เพราะเขามีแชมป์ทุกปีตั้งแต่ย้ายมาคุมทีมในลีกไทย ไล่ตั้งแต่การคว้าแชมป์ ไทยลีก 2 สมัย (2014, 2015), เอฟเอคัพ 3 สมัย (2015, 2017, 2018), ลีกคัพ 3 สมัย (2015, 2016, 2018), ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ (ถ้วย ก. เดิม) 3 สมัย (2015, 2016, 2018) และ แชมป์โตโยต้า พรีเมียร์ คัพ 1 สมัย (2015) นอกจากจำนวนแชมป์แล้ว เขายังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นอีกมากมาย ทั้งพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้า 5 แชมป์ในซีซั่นเดียวได้สำเร็จในปี 2015 และพา สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เมเจอร์แรก และสามารถเข้าร่วมศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยส์ ลีก ครั้งแรกของสโมสร รวมถึงสามารถพา “กว่างโซ้งมหาภัย” คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้อีกด้วยก่อนที่จะลาออกจากสโมสรด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย

รีดศักยภาพนักเตะได้

คุณสมบัติหนึ่งที่ผู้จัดการทีมควรจะมี นั่นคือ “ความสามารถในการรีดศักยภาพของนักเตะในทีมออกมา” ซึ่ง อเล็กซานเดร กาม่า ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เขาสามารถดึงจุดพีคของนักเตะออกมาได้ ในสมัยที่เขาคุมทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ ในประเทศไทย เมื่อปี 2015 ใครก็บอกว่า เขามีทรัพยากรที่ดีมากๆ พร้อมสำหรับการเป็นสุดยอดทีมอยู่แล้ว ฉะนั้น นั่นคือคำถามที่ใครก็อยากรู้ว่า “กาม่าของจริงไหม” และเขาก็ตอบคำถามให้เห็นเมื่อย้ายมาคุมทีม สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด โดย กาม่า สามารถพา “กว่างโซ้งมหาภัย” มีแชมป์ติดมือทั้งสองปี และรวมถึง 4 แชมป์ด้วยกัน โอเคว่า เมื่อปีที่ผ่านมานั้น เขามี ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ไว้ใช้งาน ในช่วงต้นปี ก่อนที่ ธนบูรณ์ จะเจ็บยาว ซึ่ง กาม่า ก็เอาตัวรอดได้จากหมากของเขา จนกระทั่งคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ 2017 ได้ มาปี 2018 ทีมปล่อยตัวหลักไปหลายคน ทั้ง เอเวอร์ตัน, วานเดอร์ หลุยส์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ฯลฯ แต่ กาม่า ก็ยังสร้างสมดุลของทีมชีตของเขาได้ดีเหมือนเดิม โดยสามารถรีดศักยภาพของนักเตะที่ถูกส่งลงมาทดแทนได้ดี ไม่ว่าจะดาวรุ่ง หรือพวกอายุประมาณ 23-25 ปี ก็ตาม ที่ทำได้ดีตามหน้าที่ อย่างไร้ข้อบกพร่อง จนคว้าสองแชมป์ในบั้นปลายได้สำเร็จ

เกมรับ, เกมในบ้าน และผลงานฟุตบอลถ้วยกินขาด

เกมรับ, เกมในบ้าน และผลงานฟุตบอลถ้วย คือ สามสิ่งที่เป็นเครื่องหมายการค้า ที่คอยช่วยประคับประคองผลงานของทีมที่ กาม่า คุมให้ดูดีดูเด่นอยู่ตลอดรอดฝั่ง เกมรับ - เสียประตูยาก โดยผลงานในลีกปีล่าสุด เชียงราย เสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 3 รองจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ สุพรรณบุรี เอฟซี (เท่ากับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด) เกมในบ้าน - แพ้ยาก โดย เชียงราย เป็นหนึ่งในทีมที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ในบ้านที่ ยูไนเต็ด สเตเดี้ยม ด้วยสกอร์ 1-0 ผลงานฟุตบอลถ้วยกินขาด - 4 ปีหลังสุด ที่เขาคุมทีม กาม่า ไม่เคยขาดการจับถ้วยแชมป์ฟุตบอลถ้วยเลย และคว้าดับเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้ถึง 2 ครั้ง กับ 2 สโมสร (สโมสรละครั้ง) ในรอบแค่ 3 ปีเท่านั้น นั่นคือปี 2015 กับ 2018 ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ที่มีตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นให้ชิงชัยนั้น เป็นการแข่งขันที่จะได้เล่นในบ้าน และเป็นฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ที่ กาม่า มีความถนัด เพราะความเขี้ยวลากดินของเขานั่นเอง

มีประสบการณ์ในเอเชีย

เป้าหมายสูงสุดของการคุมทีมในครั้งนี้ นั่นคือ การพาทีมชาติไทย ไปเล่นในศึกฟุตบอล ในมหกรรมกีฬาห้าห่วงให้ได้ ที่ดินแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ชิงตั๋วนั้น จะต้องพบกับทีมจากเอเชีย ในศึก ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 (ที่ยังไม่จับสลาก และยังไม่ได้แข่งรอบคัดเลือก) การแข่งขันกับทีมจากเอเชียนั้น นับเป็นข้อดีมากๆ หากเลือกใช้งาน “กาม่า” เพราะเขาเคยคุมทีมสโมสรในเอเชียตะวันออกกลางมาแล้ว ในประเทศกาตาร์ รวมถึง เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชของทีมชาติเกาหลีใต้มาแล้ว เมื่อปี 2011 เป็นที่ทราบกันดีว่า ฟุตบอลในเอเชียนั้น มหาอำนาจส่วนใหญ่ก็อยู่ที่เอเชียตะวันออก และกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกกลาง และเมื่อ กาม่า มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับฟุตบอลในสองแถบประเทศนี้ ก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับทีมชาติไทย ในการมีหมากคอยสยบ เพื่อให้ความฝันในการคว้าตั๋วโอลิมปิก เกมส์ ครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของทีมชาติไทย เป็นความจริงสักที

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline