logo-heading

ฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” เตรียมเปิดสนามตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.นี้แล้ว แม้จะเป็นเกมระดับ “อาเซียน” แต่บอกเลยว่ามีความสำคัญและน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

นี่คือทัวนาเมนต์ที่นักเตะ “ช้างศึก” ไม่เคยมีเป้าหมายอื่นนอกจากตำแหน่ง “แชมป์” เท่านั้น แม้ฟุตบอลไทยจะมีเป้าหมายที่ไกลกว่าเดิมคือการยกระดับให้สูงกว่าเก่าด้วยการไปเป็น “แถวหน้าเอเชีย” แต่ต้องยอมรับว่าเกมระดับภูมิภาคใกล้ๆ บ้านแบบนี้ก็ “พลาดไม่ได้” ทีมชาติไทยไม่ว่าจะรุ่นไหน ชุดไหน หากเพลี่ยงพล้ำในระดับอาเซียน...เป็นเรื่องทุกที !!! ไม่ใช่ว่าจะพึงพอใจแค่แชมป์ระดับอาเซียน แต่ถ้าคิดจะก้าวไปเป็นระดับแถวหน้าเอเชีย เกมชิงแชมป์อาเซียนแบบนี้นักเตะไทยต้องแสดง “มาตรฐาน” ให้เห็นว่าเหนือกว่าทุกชาติแล้ว คำว่า “มองผ่านอาเซียน” หมายถึงการที่นักเตะไทยต้องไม่ยี่หระกับชาติใดๆ ในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่ว่ายังกลัวหรือยังเกรงอยู่ว่าจะไหวหรือเปล่า จะแชมป์ได้หรือไม่ ซูซูกิ คัพ 2018....ภารกิจที่ไม่ง่าย !!!  ดังนั้นภารกิจของ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือทีมชาติไทยคงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก “ลุ้นแชมป์” สถานเดียว ภารกิจตรงนี้ต้องบอกเลยว่า “ไม่ง่าย” แต่ก็ “ไม่ยาก” เพราะมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่รูปแบบการจัดแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงใหม่ รอบแรกไม่มี “เจ้าภาพ” แต่ใช้วิธีจับสลากเป็น “เจ้าบ้าน” ชาติละ 2 นัดและไปเยือน 2 นัด เหตุผลตรงนี้ต้องเข้าใจ “เอเอฟเอฟ” ที่ต้องการเพิ่มความน่าสนใจในเรื่อง “แฟนบอล” เพราะหากจัดที่ประเทศใดประเทศเดียวเหมือนเดิม ยามใด “เจ้าภาพ” ไม่เตะ แฟนบอลก็หาย แต่ทีมชาติไทยถือว่าโชคดีเพราะได้เล่นในบ้านถึง 3 เกม เนื่องจาก “ติมอร์เลสเต” มีปัญหาเรื่องสนามหย้า ทำให้เกมแรกในวันที่ 9 พ.ย.จะเล่นที่เมืองไทยแทน ส่วนเกมเหย้าของไทยอีก 2 นัดคือการเล่นกับ “อินโดนีเซีย” วันที่ 17 พ.ย.และเจอ “สิงคโปร์” ในเกมสุดท้ายรอบแรกวันที่ 25 พ.ย. นักเตะไทยมีเกมเยือนในรอบแรกแค่ 1 นัดเท่านั้นคือไปเยือน “ฟิลิปปินส์” วันที่ 21 พ.ย. ดูจากโปรแกรมตรงนี้แล้วต้องบอกว่าเป็นโชคดีของไทยจริงๆ เล่นในบ้านถึง 3 เกม อีกทั้งยังไม่ต้องไปเยือนชาติที่เล่นในบ้านได้น่ากลัวอย่าง “อิเหนา” ที่เราเคยแพ้ในครั้งที่แล้วด้วย ส่วน “รอบรองชนะเลิศ” และ “ชิงชนะเลิศ” เตะกันแบบ 2 นัดเหย้า-เยือนเหมือนเดิม ถึงตรงนั้นไม่มีใครได้เปรียบ-เสียเปรียบกันเท่าไร แต่ทีมชาติไทยถือว่าเส้นทางเสียเปรียบนิดๆ เพราะหากจบรอบแรกด้วยการเป็น “แชมป์กลุ่มบี” จะทำให้รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ต้องไปเล่นในฐานะ “ทีมเยือน” !!! ถึงตรงนั้นคงต้องคิดถึงประโยคที่ว่า “นักรบไม่สามารถเลือกสนามรบได้” ดังนั้นนักเตะไทยไม่จำเป็นต้องมีความเกรงกลัวใดๆ เก่งจริงเตะที่ไหนก็แชมป์ ใช่ว่าทีมชาติไทยจะไม่เคยได้แชมป์นอกบ้าน สถิติที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยใช้ชื่อ “ไทเกอร์คัพ” นักเตะจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาเคยไปประกาศศักดาชูถ้วยนอกบ้านมาแล้วถึง 3 ครั้ง ซูซูกิ คัพ 2018....ภารกิจที่ไม่ง่าย !!!  ถ้าว่ากันเรื่องสถิติแล้วไทยถือเป็นเบอร์ 1 จากทั้งหมด 11 ครั้งในรายการนี้ ไทยแชมป์มากสุด 5 สมัย รองลงมา สิงคโปร์ 4 สมัย ส่วน เวียดนาม กับ มาเลเชีย ชาติละ 1 สมัย แต่น่าสนใจตรงที่ทีมชาติไทยยังไม่เคยได้แชมป์ในรายการนี้แบบ "3 สมัยติด" เลย ทีมชาติไทยประเดิมแชมป์ครั้งแรกในการจัดแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 1996 ที่สิงคโปร์ แต่หลังจากนั้นไปล้มเหลวในเกม “ไทเกอร์คัพอัปยศ” ที่เวียดนามเมื่อปี 1998 ปี 2000 ไทยกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในการเป็นเจ้าภาพครั้งแรกของไทยในรายการนี้ ก่อนที่ปี 2002 จะไปป้องกันแชมป์ได้สำเร็จที่อินโดนีเซีย ถือเป็นแชมป์ 2 สมัยติดครั้งแรก หลังจากนั้นอีก 5 ครั้งตั้งแต่ปี 2004, 2006/2007, 2008, 2010 และ 2012 ทีมชาติไทยทำได้ดีที่สุดแค่ “รองแชมป์” อกหักในนัดชิงชนะเลิศไป 2 สมัย นักเตะไทยกลับมาทวงความยิ่งใหญ่คืนอีกครั้งในปี 2014 และคว้าแชมป์ปี 2016 ต่อเนื่องมาอีกสมัย ทำให้ตอนนี้มีดีกรีเป็นแชมป์ 2 สมัยล่าสุดติดต่อกัน “ซูซูกิคัพ 2018” ที่กำลังจะเริ่มขึ้นจึงน่าสนใจว่าทีมชาติไทยจะทำสถิติ “แชมป์ 3 สมัยติด” ในรายการนี้สำเร็จหรือยัง ดูตามชื่อชั้นแล้วไทยเหนือกว่าแน่ เพราะตีตั๋วไปเล่นใน “ฟุตบอลโลก 2018” รอบ 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชียมาแล้ว แต่การที่ต้องขาด 4 นักเตะตัวหลักอย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ไปจะเป็นผลกระทบต่อทีมแน่นอน มิโลวาน ราเยวัช ได้เรียกนักเตะหน้าใหม่มาหลายคน เหลือเพียง มงคล ทศไกร และ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ เท่านั้นที่เคยได้แชมป์ 2 สมัยก่อนหน้านี้ ส่วนนักเตะที่เหลือในทีมชาติไทยชุดนี้ก็มีประสบการณ์ระดับชาติแตกต่างกันไป ที่แน่ๆส่วนใหญ่ทำผลงานได้ดีกับสโมสร มีแค่บางรายที่ผลงานในสโมสรอยู่ในระดับงั้นๆ มิโลวาน ราเยวัช นำนักเตะเข้าแคมป์ฝีกซ้อมมาระยะหนึ่งแล้ว ถึงตรงนี้ยังเดาไม่ออก บอกไม่ถูกว่า “มิโล” จะปรับสไตล์ทีมที่ “เน้นรับ” มา “เปิดลุย” ในระดับอาเซียนอย่างไร ว่ากันตรงๆตามมุมส่วนตัวเลยว่าระดับอาเซียนแบบนี้ไม่เคยกลัวทีมไหน กลัวแค่ทีมไทยนี่ละว่าจะเล่นได้ตามมาตรฐานหรือไม่และจะ “แพ้ภัยตัวเอง” หรือเปล่า..เท่านั้น ตามลุ้นตามเชียร์ทีมชาติไทยกับภารกิจลุ้นแชมป์​ “ซูซูกิคัพ 2018” กัน ภารกิจนี้อย่างที่บอก “ไม่ง่าย” แต่ก็ “ไม่ยาก”  

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline