หลังจากเผชิญเส้นทางสายนักฟุตบอลอาชีพมาตลอด 18 ปีเต็ม ล่าสุด ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งแข้งที่ประกาศแขวนสตั๊ดแล้วเป็นที่เรียบร้อย
แข้งวัย 35 ปี กองกลางระดับตำนานทีมชาติฮอลแลนด์ ที่ปัจจุบันย้ายไปค้าแข้งกับ เอสเบิร์ก ทีมในลีกเดนมาร์ก เมื่อซัมเมอร์ที่่ผ่านมา ได้ประกาศหันหลังให้วงการฟุตบอลแล้วหลังจากฝืนสังขารไม่ไหวเพราะอาการบาดเจ็บเริ่มรบกวนบ่อยมากยิ่งขึ้น วันนี้ทาง ขอบสนาม เราจึงรวบรวมโมเมนต์ต่าง ของ ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท มาให้ได้รับชมกันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ อาแจ๊กซ์ ครั้งแรก
ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท เข้าสู่ทีมเยาวชนของ อาแจ๊กซ์ ตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งอายุเพียง 10 ปีเท่านั้น ก่อนใช้เวลา 7 ปีในทีมเด็กก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรร่วมกับ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ และจอห์นนี่ ไฮติงก้า ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ฟาน เดอ ฟาร์ท ถูกสื่อในบ้านเกิดยกย่องว่าให้เป็น 'นิว โยฮัน ครัฟฟ์' เลยทีเดียว โดย 5 ปีในทีมชุดใหญ่อาแจ๊กซ์ เจ้าตัวคว้าแชมป์ร่วมกับสโมสรทั้ง แชมป์พรีเมียร์ดัดซ์ 2 สมัย และดัดซ์ คัพอีก 1 สมัย ก่อนที่จะย้ายไปโลดแล่นในลีกอื่นในทวีปยุโรป
สร้างชื่อในลีกใหญ่ยุโรป
ในช่วงเวลาที่จะย้ายออกจากรั้ว อาแจ๊กซ์ ฟาน เดอ ฟาร์ท ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เนื้อหอมไม่ใช่น้อย และด้วยฝีเท้าที่เรียกได้ว่าเป็นดั่ง วันเดอร์คิด แห่งยุคนั้นเขาน่าจะไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่และสามารถทำให้เขาประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้ แต่สุดท้ายเจ้าตัวเลือกไป ฮัมบูร์ก ทีมแห่งบุนเดสลีกา ซึ่งทีม “สิงห์เหนือ”คว้าตัวไปครองด้วยค่าตัวเพียง 5.5 ล้านยูโร ซึ่งเขาก็ได้เป็นหัวหลักของทีมตลอด 3 ปีที่โวล์คสปาร์ค สตาดิโอน ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าย้ายไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร แต่ที่สเปน เจ้าตัวไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำเสียเท่าไหร่ เหตุด้วยเพราะแดนกลางของ “ราชันชุดขาว” เต็มไปด้วยสตาร์ล้นทีมไม่ว่าจะเป็น เวสลี่ย์ สไนเดอร์, ชาบี อลอนโซ่ หรือว่า กาก้า ซึ่งทำให้เขาต้อง ย้ายไปที่อังกฤษกับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเขาสามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ และถือเป็นแข้งตัวหลักของทีม “ตราไก่” ในช่วง 2 ปีที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นชุดบุกเบิกความเก่งของ สเปอร์ส เลยก็ว่าได้ แต่ทว่าหลังออกจาก สเปอร์ส ฟาน เดอ ฟาร์ท ก็กลับไปยัง ฮัมบูร์ก อีกครั้ง ก่อนย้ายไปอีกถึง 3 สโมสรประกอบไปด้วย เรอัล เบติส, มิดทินแลนด์ และเอสเบิร์ก ทีมในลีกเดนมาร์ก และประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด
ติดทีมชาติครั้งแรก
ด้วยความที่มีฝีเท้าที่จัดจ้านในรุ่นทำให้ชื่อของ ฟาน เดอ ฟาร์ท ติดทีมชาติไล่มาตั้งชุดอายุไม่เกิน 17, 19 และ 21 ปี ก่อนที่ความฝันจะเป็นจริงกับทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกด้วยอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น และถูกหนีบไปลุยศึกยูโร 2004 ด้วยภายใต้กุนซือ ดิ๊ก โอเวอร์กาตคว้ารางวัล โกลเด้น บอย เป็นคนแรก
รางวัล โกลเด้น บอย นี่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2003 เพื่อเป็นการมอบรางวัลให้แก่นักเตะอายุไม่เกิน 21 ปี แต่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสะเด่าได้ช่วงเวลานั้นๆ และ ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท คือแข้งรายแรกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ โดยตอนนี้เจ้าตัวมีอายุเพียง 20 ปี เท่านั้น และยังคงค้าแข้งอยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมผ่านทัวร์นาเม้นท์ใหญ่มาอย่างโชกโชน
ฟาน เดอ ฟาร์ท ผ่านรายการระดับเมเจอร์มาอย่างมากมายและเกือบไปถึงตำแหน่งแชมปืโลกมาแล้วเมื่อปี 2010 ที่ประเทศบราซิล ฟุตบอลยูโร 3 สมัย ยุโร 2004 (ตกรอบรองชนะเลิศ) ยูโร 2008 (ตกรอบ 8 ทีม) ยูโร 2012 (ตกรอบแรก) ฟุตบอลโลก 3 สมัย ฟุตบอลโลก 2006 (ตกรอบ 16 ทีม) ฟุตบอลโลก 2010 (อันดับ 2) ฟุตบอลโลก 2014 (อันดับ 3)
พลาดถ้วยเวิร์ค คัพ อย่างน่าเสียดาย
อย่างที่เราทราบการว่า ฮอลแลนด์ ในศึกฟุตบอลโลกเมื่อปี 2010 ถือว่าเป็นการเข้าใกล้โทรฟี่แชมป์โลกมากที่สุดของพลพรรค “อัศวินสีส้ม” ซึ่งในปีนั้น ฟาน เดอ ฟาร์ท อาจไม่ได้เป็น 11 ตัวจริงแบบถาวรแต่ก็มีส่วนร่วมกับทีมอยู่ไม่น้อยเพราะได้ลงสนามไปถึง 7 นัด (ตัวจริง 3) และมันก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถเอื้อมมือไปคว้าถ้วยที่ยิ่งใหญ่นั้นมาครอบครองได้ เพราะต้องพ่ายให้กับ สเปน ในรอบชิงชนะเลิศ 1-0ประกาศแขวนสตั๊ด
หลังจากโลดแล่นบนถนนสายฟุตบอลอาชีพมานานถึง 18 ปีเต็ม ก็ถึงเวลาที่จะนำสตั๊ดไปแขวนและหันหลังให้กับอาชีพนักฟุตบอลอย่างเต็มตัว ส่วนนึงเพราะอายุที่เริ่มมากขึ้นแล้ว (35 ปี) บวกกับอาการบาดเจ็บเริ่มมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่ย้ายไปอยู่กับ เอสเบิร์ก ทีมในลีกเดนมาร์ก เมื่อซัมเมอร์ที่่ผ่านมา โดย ฟาน เดอร์ ฟาร์ท เปิดใจหลังเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้ว่า "ผมต้องหยุดเล่นฟุตบอลแล้วล่ะ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ผมมาที่นี่เพื่อเล่นฟุตบอล หากเป็นไปได้ ผมก็อยากเล่นฟุตบอลไปจนแก่เฒ่า แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ผมทำได้เพียงแค่กล่าวขอบคุณในทุกๆปีที่ยังอนุญาตให้ผมได้เล่นฟุตบอลตลอดมา" "ผมอยากขอบคุณนักเตะทุกคน, สตาฟฟ์โค้ช และ แฟนบอลทุกคนทั้งสโมสร อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, ฮัมบูร์ก, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ เรอัล มาดริด มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นเหลือเกิน มันคือช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของผมมากจริงๆ เพราะผมได้คว้าแชมป์ และ เล่นในลีกสูงสุด ทั้งกับสโมสร และ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์" โดยทิ้งประวัติศาสตร์และภาพที่สวงามจากการลงสนามในนามทีมชาติฮอลแลนด์ ไปถึง 109 นัด ยิง 25 ประตู เชื่อเหลือเกินว่าแฟนบอลอัศวินสีส้มจะรักและคิดถึงบุรุษผู้นี้อย่างแน่นอน