logo-heading

อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น การแข่งขันฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 จะเริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว โดยพรุ่งนี้ จะมี 2 คู่ประเดิมสนามกันก่อน ในกลุ่ม เอ นั่นคือ กัมพูชา จะเปิดสนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม ที่กรุงพนมเปญ พบกับ มาเลเซีย และ สปป.ลาว จะพบกับ เวียดนาม หนึ่งในตัวเต็งแชมป์ ที่กรุงเวียนจันทน์

สำหรับทีมชาติไทยนั้น เพิ่งมีการประกาศรายชื่อ 23 ขุนพลสุดท้ายที่ผ่านการตัดตัว เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันที่จะเริ่มต้นนัดแรก โดยจะพบกับ ติมอร์-เลสเต้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันศุกร์นี้ แน่นอน การตัดตัวผู้เล่นในแต่ละครั้ง ก็ย่อมเกิดความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นกับแฟนบอล บ้างก็ยี้ บ้างก็พอใจ บ้างก็โอเค บ้างก็เสียดาย สำหรับนักเตะที่พวกเขาชื่นชอบ แล้ว 23 นักเตะที่ มิโลวาน ราเยวัช เลือกมานั้น ดีพอแล้วหรือยังกับการเป็นแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 เราลองมาดูกันไปทีละตำแหน่งเลย…

ผู้รักษาประตู

แม้หลายคนจะแปลกใจไม่น้อยกับการดึง สรานนท์ อนุอินทร์ เข้ามาอยู่ในทีมชุดนี้ แต่สุดท้าย แน่นอนว่า ผู้รักษาประตูตัวจริง ย่อมเป็นตำแหน่งของ ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน หรือ ฉัตรชัย บุตรพรหม ไม่คนใดก็คนหนึ่ง และด้วยดีกรีของทั้งคู่ที่ผ่านมาลงสนามในเกมระดับเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว โดยเฉพาะ “เจ้าแชมป์” รวมถึงเพิ่งลงเล่นเกมอุ่นเครื่องในช่วงฟีฟ่าเดย์ กับทีมที่อยู่นอกระดับอาเซียน ทั้ง ฮ่องกง และ ตรินิแดดฯ นั่นหมายความว่า พวกเขามีดีพอกับการยืนอยู่ในจุดที่เหนือสุดของอาเซียนแน่นอน แม้จะไม่ได้ใช้งาน “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็ตามที

กองหลัง

กลายเป็นตำแหน่งที่ไม่น่าห่วงที่สุดไปแล้วของทีมชาติไทย แม้จะไม่มี ธีราทร บุญมาทัน ในตำแหน่งแบ็คซ้าย แต่ด้วยแผงแบ็คโฟร์ที่มีอยู่ตอนนี้ ไล่ตั้งแต่ กรกช วิริยะอุดมศิริ ที่น่าจะได้เล่นแบ็คซ้าย ตามด้วย คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่น่าจะเป็นหน้าที่ของ พรรษา เหมวิบูลย์ กับ เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว กัปตันทีมชาติไทยคนใหม่ ส่วนแบ็คขวา ฟิลิป โรลเลอร์ น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง โดยมีตัวสำรองในแผงแนวรับอย่าง มานูเอล ทอม เบียรห์, เควิน ดีรมรัมย์, สุพรรณ ทองสงค์ และ มิก้า ชูนวลศรี นี่คือจุดแข็งที่สุดของทีมชาติไทย เลยก็ว่าได้ เพราะเพิ่งเก็บคลีนชีตได้สองนัดหลังสุด กับฮ่องกง และ ตรินิแดดฯ โดยทีมชาติไทย ในยุคของ ราเยวัช เก็บคลีนชีตได้ถึง 5 เกมจาก 12 นัด คิดเป็นกว่า 41.67% และหากนับเกมกับ เบลารุส ที่ไม่ได้เป็นเกมออฟฟิเชี่ยลของฟีฟ่าด้วย ก็จะเป็นเก็บคลีนชีตได้ถึง 6 นัดจาก 13 เกม และที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เล่นเกมไม่เสียประตูไว้ก่อนเป็นหลักเลย เพราะจากสถิติในช่วงครึ่งแรก ปรากฏว่า ทีมชาติไทย ไม่เสียประตูถึง 9 นัด (เสียประตูครึ่งแรกในเกมกับ อิรัก, สโลวาเกีย และ จีน) ซึ่ง 12 เกมที่ผ่านมาของทีมชาติไทย ในยุคของ ราเยวัช นั้น มีเกมเดียวที่เจอกับทีมจากอาเซียน นั่นคือ การบุกเอาชนะ เมียนมา 3-1 ที่เหลือเจอกับทีมจากยุโรป, เอเชียกลาง, เอเชียตะวันออก, แอฟริกา และ คอนคาเคฟ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า เกมรับของทีมชาติไทย เชื่อขนมกินได้เลยว่า “มีของดี” และดีพอสำหรับการเป็นแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ อย่างแน่นอน

กองกลาง

ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า การขาด ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ในแดนกลางจะไม่ส่งผลอะไรเลยกับทีมชาติไทย เพราะนี่คือ นักเตะที่เก่งที่สุดของทีมชาติไทยในปัจจุบัน เขาทำได้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเกมรุก เขาสร้างสรรค์เกมได้ ยิงไกลได้ แอสซิสต์ได้ และเล่นบอลอย่างชาญฉลาด แต่เมื่อสูญเสียแล้ว ก็ต้องหาคนมาทดแทน… ปกเกล้า อนันต์, สุมัญญา ปุริสาย, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, สรรวัชญ์ เดชมิตร ห้านักเตะนี้ เป็นนักเตะในแดนกลางที่ ราเยวัช เลือกสรรมาอยู่ในทีมชุดนี้ ซึ่งผมเองก็มองว่า มีดีพอสำหรับการเป็นแชมป์ทุกคน เพราะมีประสบการณ์ในการเล่นให้ทีมชาติไทย มายาวนาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเทียบกับกองกลางของทีมชาติอื่นๆ ในอาเซียน ก็ไม่ได้เรียกว่า เหลื่อมล้ำเหนือกว่าเขามากนัก โดยเฉพาะกับ เวียดนาม ซึ่งเต็มไปด้วยสายเลือดใหม่ ที่ช่วยกันทำผลงานดีต่อเนื่องมาตั้งแต่การคว้ารองแชมป์ ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2018 ตามด้วยการเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลในมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ทั้ง เลือง ซวง ตรวง, เหงียน คอง เฟือง, เหงียน กวาง ไฮ ฯลฯ ตรงจุดกองกลาง ผมให้ความเห็นว่า เรามีความเหนือกว่าชาติอื่นๆ อยู่ แต่ไม่ได้เต็มร้อยขนาดที่จะข่มได้ ทว่าก็มีภาษีที่ดีพอสำหรับการชูถ้วยแชมป์อย่างแน่นอน

กองหน้า (รวมนักเตะริมเส้น)

กองหน้า คือตำแหน่งที่ต้องผลิตประตู และ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ครั้งนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่เครื่องจักรผลิตประตูที่ดีที่สุดของทัพช้างศึก เล่นอยู่นอกประเทศ นั่นคือ ธีรศิลป์ แดงดา ที่เคยอยู่กับ อัลเมเรีย เมื่อปี 2014 จนไม่ได้ร่วมทีมชาติไทย ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 หน้าที่ดังกล่าว ถูกผ่องถ่ายมาให้กับสายเลือดกองหน้ารุ่นใหม่ ที่มีตัวเลือกอย่าง อดิศักดิ์ ไกรษร, ชนานันท์ ป้อมบุบผา และ ศุภชัย ใจเด็ด ในตำแหน่งหน้าเป้า โดยมี ปกรณ์ เปรมภักดิ์, ศศลักษณ์ ไหประโคน, มงคล ทศไกร และ นูรูล ศรียานเก็ม คอยเป็นตัวเลือกทางด้านข้าง สำหรับในส่วนของกองหน้านั้น ทีมชาติไทย เคยแสดงออกให้เห็นแล้วว่า เราสามารถเป็นแชมป์ได้ โดยไม่ต้องมี “มุ้ยซัง” คอยยืนกองหน้าตัวเป้า แต่ในปี 2014 เราก็ยังมี ชนาธิป รวมถึง เป็นปีที่ สารัช อยู่เย็น กับ ชาริล ชัปปุยส์ มีความพีคอยู่ในการขับเคลื่อนเกมแดนกลาง ปีนี้ ในตำแหน่งเกมรุก น่าจะเป็นจุดที่มีคำถามมากที่สุดของทีม เพราะนอกจากไม่มี “มุ้ย” แล้ว ยังไม่มี “เจ” ด้วย ฉะนั้น นอกจากกองหน้าตัวเป้าแล้ว ที่จะต้องฝากความหวังไว้ ผมคิดว่า นักเตะพื้นที่ด้านข้างเอง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะช่วยผลิตสกอร์เช่นเดียวกัน เพื่อสอดรับหากกองหน้ายังทำประตูไม่ได้ ในส่วนของกองหน้า ผมคิดว่า ทุกคนจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้รู้ว่า พวกเค้ามีดีพอสำหรับการเป็นแชมป์ ซูซูกิ คัพ เหมือนอย่างที่รุ่นพี่เคยทำมาได้เหมือนกัน และผมหวังอย่างยิ่งว่า บทความของผมครั้งต่อไป จะมีแต่เรื่องราวดีๆ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชัยชนะแห่งช้างศึก…

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline