ฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” ผ่านครึ่งทางของรอบแรกไปแล้ว ผลการแข่งขันไม่มี “พลิกล็อก” สักคู่ แต่สกอร์อาจมีผิดคาดบ้างหลายคู่
สำหรับผลงานของนักเตะ
ไทย ดีกรีแชมป์มากที่สุด 5 สมัยและแชมป์ติดต่อกัน 2 สมัยล่าสุดถือว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ 6 คะแนนเต็ม
แต่รูปเกมเป็นอีกเรื่องที่คงต้องว่ากันตามแต่มุมมอง
เกมแรกที่ถล่ม
ติมอร์ เลสเต แบบสกอร์ถล่มทลาย 7-0 หลายคนมองว่าวัดอะไรไม่ได้มาก เพราะมาตรฐานห่างกันค่อนข้างเยอะ
ว่ากันแบบนี้คงไม่มีใครเถียง เพราะ ติมอร์ฯ เป็นทีมที่มาจากรอบคัดเลือก อันดับโลกอยู่ที่ 191 ต่ำที่สุดกว่าชาติในทัวนาเมนต์ ดังนั้นคงเทียบชั้นกับไทยลำบาก
แต่ถ้ามองแบบ
“โลกสวย” หรืออยากให้เครดิตนักเตะไทยมากๆอาจมองได้ว่า ติมอร์ฯ ใช่จะเป็น
“สมัยน้อย” เสียทีเดียว ใน 2 เกมต่อมาพวกเขาทำผลงาน
“หักปากาเซียน” เหมือนกัน
ทั้งการบุกไปแพ้
อินโดนีเซีย 1-3 แบบยิงนำก่อนด้วย รวมถึงที่โดน
ฟิลิปปินส์ ยิงนำถึง 3 ประตู แต่จบเกมด้วยการแพ้แบบเฉียดฉิว 2-3
เท่ากับว่า ติมอร์ฯ ที่ใครต่อใครมองว่า
“อร่อย” กลับโดนแค่ ไทย เท่านั้นที่ถล่มยับ !!!
ส่วนเกมต่อมาที่ “ช้างศึก” เอาชนะ “อิเหนา” ในเกม
“รีเทิรน์ แมทช์” นัดชิงชนะเลิศปี 2016 ด้วยสกอร์ 4-2 ถือว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
นักเตะไทยลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเองเกือบ 4 หมื่่นคนแต่ถูกยิงนำก่อน และเสีย 2 ประตูในเกมนี้ ด้วยรูปเกมที่ค่อนข้างอึดอัดในช่วงครึ่งแรก
แม้จะทำผลงานได้ตามเป้าหมาย แต่หลายเสียงบ่นว่า “ไม่ปลื้ม” กับฟอร์มการเล่น
ตรงนี้ถือว่าแล้วแต่มุมมอง บางคนอาจคาดหวังมากถึงฟอร์มการเล่นที่ต้อง
“เหนือ” กว่าทุกชาติในภูมิภาคนี้ แต่บางคนอาจพอใจกับแค่เป้าหมายตรงที่ 3 คะแนน
ที่เป็นประเด็นมากสุดคือ
“เทคติก” ที่หลายเสียงอยากเห็นทีมของ
มิโลวาน ราเยวัช เน้น
“บุก” มากกว่านี้ เพราะนี่คือเกมระดับ
“อาเซียน” ที่ “ช้างศึก” ไม่ได้เป็นรองใคร
แต่จริงๆแล้วสไตล์ของกุนซือชาวเซิร์บตั้งแต่เข้ามาคุมทีมชาติไทยแสดงให้เห็นชัดเจนมาตลอดว่า
“เน้นเกมรับ” ดังนั้นแนวทางนี้จึงไม่ใช่น่าเรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
เท่าที่ได้พูดคุยกับผู้สันทัดกรณีหลายรายคิดเห็นตรงกันว่าสไตล์ของ “ราเยวัช” คือ “เน้นผลการแข่งขัน”
จาก 2 นัดก็ได้ผลตามที่ต้องการคือ 6 แต้มเต็ม แต่จะประทับใจหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ว่าจะเน้นบุกหรือเน้นรับ ทำทีมแบบไหน สไตล์ไหน แต่โจทย์ของ “ราเยวัช” มีแค่อย่างเดียวคือต้องจบที่ตำแหน่ง
“แชมป์” เท่านั้น
หากผิดจากนี้ต้องถือว่า “ล้มเหลว” !!!
เท่าที่ดูมาตรฐานของชาติต่างๆ ในทัวนาเมนต์แล้วต้องบอกว่าไทยยังดูดีกว่าชาติอื่นๆอยู่ดี แม้จะขาด 4 ผู้เล่นตัวหลักไปก็ตาม
แต่เส้นทางหลังจากนี้ถือว่าลุ้นสนุกมากขึ้น เริ่มตั้งแต่กลางสัปดาห์นี้เลยกับ
“เกมเยือน” นัดแรกที่จะต้องไปเจอ ฟิลิปปินส์ ที่ชนะมา 2 นัดรวดเช่นกันในวันที่ 21 พ.ย.
แม้จะฟอร์มไม่สวยหรู แต่เชื่อว่านักเตะไทยเอาตัวรอดออกจากแผ่นดิน “ตากาล็อก” ได้แน่ แล้วค่อยมาปิดแมทช์รอบแรกนัดสุดท้ายในบ้านกับ
สิงคโปร์ วันที่ 25 พ.ย.
สถานการณ์ถึงตรงนี้ยังมั่นใจว่าไทยจะเป็น
“แชมป์กลุ่มบี” ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ นั่นหมายความว่าตามเส้นทางแล้วจะจบทัวนาเมนต์ด้วยการเป็นทีมเยือน
ถ้าไทยเป็นแชมป์กลุ่มบีคิวเตะจะเป็นตามนี้ รอบรองชนะเลิศ ออกไปเยือนก่อนวันที่ 1 ธ.ค. แล้วกลับมาเล่นในบ้านวันที่ 5 ธ.ค.
ส่วนนัดชิงชนะเลิศจะได้เล่นในบ้านก่อนวันที่ 11 ธ.ค.แล้วออกไปเยือนวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งสถิติที่ผ่านมาจากแชมป์ทั้งหมด 5 ครั้ง นักเตะไทยเคยไปชูถ้วยนอกบ้านมาแล้วถึง 3 หน
ตามสถิติตรงนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวอะไรหากต้องไปจบรอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 นอกบ้าน แต่น่าสนใจว่าจะไปถึงตามเป้าหมายหรือเปล่ามากกว่า
น่าสนใจอีกว่าด่านต่อๆไปนักเตะไทยจะเจองานหนักแค่ไหน แล้วชาติใดคือคู่แข่งสำคัญ ที่หลายคนคาดหวังและอยากให้เจอกันมากที่สุดในนัดชิงชนะเลิศคือ
เวียดนาม
ดูตามเส้นแล้วโอกาสที่ทั้ง 2 ชาติจะไปเจอกันในนัดชิงชนะเลิศมีสูง ทั้ง ไทย และ เวียดนาม นำเป็นจ่าฝูงกลุ่มอยู่ ดูแล้วไม่น่ารีบมาเจอกันในรอบรองชนะเลิศ
สื่ออินเตอร์บางเจ้ายกให้ เวียดนาม เป็น
“เต็ง 1” แฟนบอลหลายคนเลยมองว่าดีนักดีหนา แฟนบอลไทยบางรายบอกว่าดีกว่าชาติตัวเองด้วยซ้ำ !!!
การเกทับบลัฟแหลกจึงเป็นประเด็นที่เสวนาในโซเชียลตลอด แต่เถียงกันไปก็เท่านั้น รอให้เจอจริงๆในสนามแล้ววัดกันว่าใครดีกว่ากันน่าจะดีที่สุด
ขอแค่ใครอย่า
“ไม่มาตามนัด” เท่านั้น เพราะสถิติที่ผ่านมา ไทย กับ เวียดนาม เคยเจอกันในนัดชิงชนะเลิศรายการนี้แค่ครั้งเดียวเมื่อปี 2008
เวียดนาม เคยเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศทัวนาเมนต์นี้ 2 ครั้ง แต่ได้แชมป์ครั้งเดียวเมื่อปี 2008 และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ชิงเพราะ 4 ครั้งหลังสุดตกรอบหมด ส่วนไทยเข้าชิงมา 3 ปีติดแล้ว
สำหรับครั้งนี้ เวียดนาม กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจหลังต่อยอดมาจากความสำเร็จที่
ได้ “รองแชมป์” จาก
“ฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปีชิงแชมป์เอเชีย 2018”
ดังนั้น
“คู่ชิงในฝัน” ของ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” ที่คนไทยอยากดูมากที่สุดจะเป็นชาติใดไปไม่ได้เลยนอกจาก
“ไทย vs เวียดนาม” เท่านั้น
ถ้าไม่มีใครเบี้ยวนัด...รับประกันว่านี่จะเป็นแมทช์ที่เกินระดับ 5 ดาว
“บับเบิ้ล”