logo-heading

ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” จบรอบแรกไปแล้วพร้อมได้ 4 ชาติเข้าไปลุ้นต่อในรอบรองชนะเลิศที่จะเตะกันแบบเหย้า-เยือนหาทีมไปลุ้นแชมป์

นักเตะทีมชาติไทยจบผลงานในรอบแรกด้วยการเตะ 4 นัด ชนะ 3 เสมอ 1 ยิงได้ 15 เสีย 3 ประตู เบ็ดเสร็จเก็บไป 10 แต้มคว้า “แชมป์กลุ่มบี” ตีตั๋วเข้าไปลุ้นแชมป์สมัยที่ 6 หากว่ากันที่ผลงานต้องถือว่า “ตามเป้า” แต่ถ้าถามว่า “ถูกใจ” แฟนบอลมากน้อยแค่ไหน อันนี้แล้วแต่มุมมอง 4 เกมที่ผ่านมา มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซิร์บของทัพ “ช้างศึก” ถูกวิพากษ์มาตลอด หลายเสียงบ่น “เล่นไม่สนุก” ไม่ก็ “เน้นรับเกินไป” หรือถามว่า “ทำไมไม่บุกใส่ทีมอาเซียน” แต่หลายเสียงเช่นกันที่บอกว่าเข้าใจสไตล์ทำทีมของ “ราเยวัช” และสำคัญที่สุดให้ดูที่ “ผลการแข่งขัน” เพราะว่ากันว่าทีมชาติไทยยุคนี้เป็น “บอลเน้นผล”   ประเด็นตรงนี้ “มองต่างมุม” เถียงกันไปไม่มีวันจบ แต่เชื่อเถอะว่า “ราเยวัช” และนักเตะทุกคนรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่เพื่อให้ทีมชาติไทยได้ผลการแข่งขันที่ดีที่สุด “ช้างศึก” รอบแรก 4 นัด 15 ตุง 10 แต้ม...โอเคมั้ย ?   หากลงรายละเอียดดูจาก 4 เกมในรอบแรก องค์ประกอบแต่ละนัดถือว่าแตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่ถล่ม ติมอร์ เลสเต 7-0 มาตรฐานน่ะต่างกันแน่ แต่ต้องมองว่าออกตัวได้แรง นัดต่อมาเอาชนะ อินโดนีเซีย 4-2 ถูกวิจารณ์ยับด้วยสไตล์ที่อึดอัดแถมยังโดนยิงนำก่อน แต่ด้วยศักยภาพที่เหนือกว่าที่สุดแล้วยังเอาตัวรอดได้อยู่ดี นัดที่ 3 เล่นเกมเยือนครั้งแรกบุกเสมอ ฟิลิปปินส์ 1-1 ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียหายอะไรเลย การเจอกับ “ตากาล็อก” ยุคใหม่ในบ้านของพวกเขาไม่ได้เป็นงานง่ายมาหลายปีแล้ว นัดสุดท้ายเปิดบ้านชนะ สิงคโปร์ ชาติที่มีสถิติได้แชมป์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ด้วยสกอร์ขาด 3-0 แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานของไทยเหนือกว่าอย่างชัดเจน สรุปผลงาน 4 นัดทีมของ “ราเยวัช” ที่โดนวิพากษ์ว่าไม่ค่อยบุกกลับยิงได้ถึง 15 ประตูมากกว่าทุกชาติแบบไม่มีใครเทียบติด แต่เกมรับที่เน้นๆกลับเสียไป 3 ประตูนี่น่าคิดเหมือนกัน โดย 2 ประตูที่โดน “อิเหนา” มาจากยิงไกลและลูกโหม่งจากเตะมุม ส่วน 1 ประตูของ “ปินอย” ยิงแฉลบโดนเสาปลิ้นเข้า ขณะที่การจัดตัวผู้เล่นของ “ราเยวัช” ทั้ง 4 เกมต้องบอกว่า “จับทางไม่ถูก” เหมือนกัน 2 เกมแรกมาแบบสไตล์ๆเดิมคือไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากมายนัก นัดกับ ติมอร์ เลสเต แม้ครึ่งแรกจะนำถึง 4-0 แต่ยังเปลี่ยนตัวยาก ไม่ยอมลองตัวใหม่ๆ กว่าจะเปลี่ยนตัวคนแรกต้องรอถึงนาที 74 ส่วนคนที่ 2 และ 3 เปลี่ยนตัวในช่วง 10 นาทีสุดท้าย นัดที่ 2 กับ อินโดนีเซีย เปลี่ยน 11 คนแรกจากนัดแรกตำแหน่งเดียวแบบจำเป็นเพราะ มานูเอล ทอม เบียห์ เจ็บเลยต้องถอนตัว ส่วนคนอื่นๆ ยกชุดเดิมหมด แต่เกมกับ “อิเหนา” กุนซือชาวเซิร์บตัดสินใจเปลี่ยนตัวไวมาก ครึ่งแรกรูปเกมไม่ดี เริ่มครึ่งหลังแก้เกมส่ง ปกเกล้า อนันต์ ลงทันที แล้วส่ง ศุภชัย ใจเด็ด ลงในนาที 67 เกมกับ ฟิลิปปินส์ นัดที่ 3 “ราเยวัช” ดูจะได้ทีมที่ลงตัว เปลี่ยนถึง 3 ตำแหน่ง ส่ง ฉัตรชัย บุตรพรหม ลงประตู และยึดชุดครึ่งหลังกับ อินโดนีเซีย เป็นหลัก ปกเกล้า กับ ศุภชัย ลุยตัวจริง ทว่ามาถึงเกมที่ 4 กับ สิงคโปร์ มีการปรับใหม่อีก 2 ตำแหน่งส่ง มิก้า ชูนวลศรี และ นูรูล ศรียานเก็ม ลงมาลุยทางฝั่งขวา กลายเป็นว่าชุดนี้ดูจะลงตัวมากทั้งเกมรับและโต้กลับ “ช้างศึก” รอบแรก 4 นัด 15 ตุง 10 แต้ม...โอเคมั้ย ?   ทั้ง 4 นัดเหมือนว่า “ราเยวัช” พยายามหา 11 คนแรกที่ลงตัวที่สุด ถึงตรงนี้น่าจะเจอแล้ว ส่วนแต่ละเกมหลังจากนี้คงจะมีเปลี่ยนแปลงบ้างตามเทคติคหรือวิธีการเล่นในเกมนั้นๆ สำหรับฟอร์มของขุนพล “ช้างศึก” ในรอบแรกส่วนใหญ่ถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน ทุกตำแหน่งค่อนข้างลงตัวและน่าจะเอาตัวรอดในระดับอาเซียนได้แบบไม่ยากเย็นนัก ตำแหน่งผู้รักษาประตู ไม่ว่าจะเป็น ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน หรือ ฉัตรชัย ถือว่าผลงานไม่แตกต่างกันเท่าไร ศักยภาพของทั้ง 2 คนพอๆกัน แนวรับตรงเซนเตอร์แบ็ก เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว กับ พรรษา เหมวิบูลย์ จับคู่กันมานาน ทั้งคู่ร่วมงานกันได้ดี อีกทั้งกองหน้าอาเซียนเท่าที่เห็นพิษสงน้อยกว่าพวกที่เจอในไทยลีกเยอะ แบ็กซ้าย กรกช วิริยะอุดมศิริ ฟอร์มเด่นมาก แถมมีทีเด็ดตรง “ฟรีคิก” อีกหลายครั้ง ส่วนแบ็กขวา มิก้า ชูนวลศรี มีลุ้นเบียด ฟิลิป โรลเลอร์ ได้อีก เพราะเด่นที่เกมรับและแข็งแกร่ง ตรงกลาง ธนบูรณ์ เกษารัตน์ กับ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ คือหัวใจสำคัญ “ตั้ม” เริ่มดีเหมือนเดิมเรื่อยๆ ส่วน “นิว” เล่นได้ตามมาตรฐาน แต่ถ้าจะไป “เจลีก” ต้องดีกว่านี้อีกนิด ปกเกล้า เป็นตัวแปรสำคัญในแดนกลางที่ทำให้ทีมสามารถปรับเปลี่ยนแทกติกได้ตลอด ขณะที่ สุมัญญา ปุริสาย มีโอกาสเปลี่ยนตัวลงมาเล่นบ้างแต่ไม่ค่อยได้โชว์อะไร ตำแหน่งริมเส้นซ้าย-ขวาถือว่าน่าสนใจ นูรูล พอมาเล่นฝั่งขวาตามถนัดแล้วถือว่า “มีของ” ส่วน ศุภชัย แจ้งเกิดตรงริมเส้นฝั่งซ้ายไปเรียบร้อย เข้าสูตร “คนจะดัง” อีกแล้ว แต่ มงคล ทศไกร ที่ “ราเยวัช” มักเลือกใช้บ่อยๆ นี่ไม่แน่ว่าสามารถเบียดลงได้ทุกเวลา น่าเสียดายตรง ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่มีโอกาสลงเล่นไม่เยอะจึงยังพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ “ช้างศึก” รอบแรก 4 นัด 15 ตุง 10 แต้ม...โอเคมั้ย ?   ส่วนแนวรุกชั่วโมงนี้ สรรวัชญ์ เดชมิตร ฟอร์มโดดเด่นมากๆ เช่นเดียวกับ อดิศักดิ์ ไกรษร ในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าที่กดไปแล้ว 8 ประตู ทั้ง 2 คนสอบผ่านแบบสบายๆ สำหรับตัวสำรองในแนวรุกที่มีโอกาสลงสนามแล้วทั้ง ชนานันท์ ป้อมบุบผา และ ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ก็ไม่ทันได้เห็นอะไรเท่าไร ขณะที่ สรานนท์ อนุอิน นายประตูมือ 3 และ  สุพรรณ ทองสงค์ กับ เควิน ดีรมรัมย์ คือ 3 คนที่ยังไม่มีโอกาสได้ลงสัมผัสเกมเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกคนคือ “ทีมเดียวกัน” รวมถึงแฟนบอลที่เป็น “นักเตะคนที่ 12” ด้วย ยอดคนดูในบ้าน 3 เกมแรกยังถือว่าไม่โอเค จำนวนคนดูเกมแรกแค่ 8,674 คน นัดที่ 2 ถือว่าเยอะสุดที่ 37,570 คน ก่อนนัดที่ 3 จะตกลงมาเหลือ 29,716 คน หวังว่ารอบต่อๆไปคงได้เห็นเกิน 4 หมื่นคน โปรแกรมรอบรองชนะเลิศมาลุ้นกันต่อ วันที่ 1 ธ.ค.ไทยไปเยือน มาเลเชีย ก่อนที่บูกิต จาลีล แล้วกลับมาปิดแมทช์วันที่ 5 ธ.ค.ที่ราชมังคลากีฬาสถาน “ช้างศึก” vs “เสือเหลือง” เป็นเกม “รีแมทช์นัดชิงชนะเลิศปี 2014” เกมนี้จะ “ย้ำแค้น” หรือ “ถอนแค้น” รอลุ้นกันครับพี่น้อง  

“บับเบิ้ล”

   
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline