logo-heading

7-0, 4-2, 1-1 และ 3-0 นี่คือสกอร์ของทีมชาติไทย ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 รอบแรก จำนวน 4 นัด ซึ่งเก็บไปได้ 10 แต้ม ทำให้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศในฐานะแชมป์กลุ่ม บี ไปลุ้นป้องกันแชมป์อาเซียน 3 สมัยติดต่อกัน โดยมี ทีมชาติฟิลิปปินส์ ตามมาเป็นอันดับสอง หลังจากมี 8 แต้มจาก 4 นัด

แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของ มิโลวาน ราเยวัช ในศึกชิงแชมป์อาเซียนครั้งนี้ มีรูปแบบการเล่นที่แปลกใหม่เหลือเกิน แม้จะมาในระบบสมูธ อย่าง 4-2-3-1 เพราะ ราเยวัช สั่งให้เน้นไปที่เกมรับมากกว่าที่เคยเป็น สำหรับโค้ชท่านอื่น ที่เคยคุมทีมชาติไทย ลงสนามในศึกชิงแชมป์อาเซียน โดย ราเยวัช ใช้เกมเคาน์เตอร์แอคแทค หรือการสวนกลับ ในการลุ้นทำประตู ซึ่งก็ทำได้ดี เมื่อใช้จังหวะสวนกลับไม่กี่ครั้ง ในการทำประตูได้ถึง 15 ลูกจาก 4 เกม แม้จะมีการครองบอลที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นก็ตาม น่าจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ทีมชาติไทย ไม่มีเกมไหนครองบอลแตะหลัก 60 เปอร์เซ็นต์เลยสักนัดในรอบแรกศึกชิงแชมป์อาเซียน แถมยังครองบอลน้อยกว่าคู่แข่งถึง 2 เกมจาก 4 เกมแรกอีกด้วย และมาตรฐานเฉลี่ยของการครองบอลก็น้อยกว่าคู่แข่งอีกต่างหาก เปอร์เซ็นต์การครองบอลแต่ละนัด ทีมชาติไทย 54.6% - ติมอร์-เลสเต้ 45.4% ทีมชาติไทย 50.5% - อินโดนีเซีย 49.5% ทีมชาติไทย 40.9% - ฟิลิปปินส์ 59.1% ทีมชาติไทย 44.8% - สิงคโปร์ 55.2% ค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์การครองบอลต่อนัด : ทีมชาติไทย 47.7% - คู่แข่ง 52.3% แต่แม้จะเล่นเกมรับเป็นหลัก จะเล่นเกมที่น่าเบื่อ ปล่อยให้เขาบุก ครองบอลก็น้อยกว่า เป็นฟุตบอลเน้นผลในแบบฉบับยุโรปตะวันออก แต่ทว่า 10 แต้มจาก 4 เกม รวมถึงสามารถพังประตูได้ถึง 15 ลูก ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์การลงสนามในรอบแรกของทีมชาติไทย ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ท่านผู้ชม! เมื่อไรจะถูกใจพี่ เมื่อไรจะเปิดใจบ้าง น่าจะตอบได้ชัดเจนว่า “ราเยวัช ไม่ได้คิดผิด” และนี่ก็อาจจะเป็นวิธีการเล่นที่เหมาะสมจริงๆ ของทีมชาติไทย ที่จะสามารถใช้งานกับทัพ “ช้างศึก” ทั้งในระดับอาเซียน รวมถึงในระดับเอเชียด้วย “แต่วลี ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ ยังคงใช้งานได้เสมอ” ไม่ว่าผลการแข่งขันจะสวยงามแค่ไหน ทั้งการถล่มสิงคโปร์มากที่สุดตลอดกาลในศึกชิงแชมป์อาเซียน ทั้งการชนะ สิงคโปร์ ขาดลอยที่สุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่คิงส์คัพ ปี 2002 ทั้งการถล่ม ติมอร์-เลสเต้ 7-0 โดยที่มีนักเตะกองหน้าสามารถยิงได้ 6 ประตูในเกมเดียว และทุกประตูเกิดจากการสัมผัสบอลเพียง 1 ทัชเท่านั้นด้วย แต่ด้วยวิถีการเล่นเกมรับเป็นหลัก นั่นทำให้แฟนบอลไทยจำนวนมาก ยังไม่สบอารมณ์ บ้างก็บอกว่า ยังวัดอะไรไม่ได้ เพราะเป็นแค่ทีมจากอาเซียน บ้างก็บอกว่า นี่มันแค่อาเซียน ทำไมต้องเล่นเกมรับ ทั้งที่บางทีมก็มีแรงกิ้งฟีฟ่าที่ดีกว่าทีมชาติไทย บ้างก็บอกว่า ต้องชนะหมดทุกนัด เพราะนี่เป็นเกมระดับอาเซียน ทั้งๆ ที่ แต่ละครั้งที่ผ่านมาที่ได้แชมป์ ทีมชาติไทย ต้องพบกับความพ่ายแพ้ด้วยซ้ำ จนทำให้ เพลง “ท่านผู้ชม” ของ “พี่ตูน บอดี้แสลม” แวะเข้ามาในหัว “สรุปวันนี้จะเอาไงกัน สรุปทางไหนก็ไม่พ้นโดนด่า ซ้ายมือก็มี ขวามือก็มี เสียงลอยเข้ามา จะเอาไงดี ที่ทำไปแล้วก็ไม่พ้นคนว่า ให้ตรงใจคน ทำไงจะให้โดนทุกตา…...” ท่านผู้ชม! เมื่อไรจะถูกใจพี่ เมื่อไรจะเปิดใจบ้าง ผมเองก็ไม่รู้ว่า มิโลวาน ราเยวัช จะทำอย่างไรให้ผู้คนถูกใจในสิ่งที่เขากำลังทำเต็มที่ เพื่อให้ทีมชาติไทยประสบความสำเร็จอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งจะให้เปลี่ยนไปเล่นเกมรุกก็คงได้ แต่ก็ไม่รู้ว่า ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ จะดีเท่ากับที่เป็นอยู่ไหม เนื่องจากจะไม่ใช่ธรรมชาติของปรัชญาการทำทีมอย่างที่ “ลุงมิโล” เคยทำมาตลอดทั้งชีวิตการเป็นเฮ้ดโค้ช ซึ่งผมเชื่อว่า สิ่งที่ ราเยวัช กำลังปรับสภาพทีมชาติไทยอยู่นั้น ไม่ใช่แค่หวังผลกับการเป็นแชมป์อาเซียนเท่านั้น แต่ยังต้องการปรับธรรมชาติในเรื่องของวิธีการเล่นกับชาติต่างๆ ของทีมชาติไทย เพื่อเตรียมนำไปใช้งานกับชาติมหาอำนาจของเอเชีย ในรายการ เอเชียนคัพ ด้วย แล้วก็พูดตรงๆ เลยว่า แม้เขาจะพาทีมชาติไทย คว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ สมัยที่ 6 หรือเป็นชาติแรกที่คว้าแชมป์อาเซียนได้สามสมัยติดต่อกัน ก็ยังไม่รู้ว่า จะทำให้แฟนบอล (บางกลุ่ม) ถูกใจในตัวเขาขึ้นมามากขึ้นหรือไม่ บางทีก็ได้แต่คิดว่า โชคดีเหลือเกินที่ ราเยวัช อ่านภาษาไทยไม่ออก ว่าแล้ว ก็ขอฮัมเพลงของพี่ตูนต่อไป และหวังว่า แฟนบอลจะเข้าใจในสิ่งที่ ราเยวัช กำลังจะทำ “เมื่อไหร่จะถูกใจพี่ เมื่อไหร่จะเปิดใจบ้าง เมื่อไหร่จะมีสักครั้ง ที่เป็นอย่างใจ ไม่มีความดีความชอบ ไม่มีรางวัลจะมอบ ไม่เคยต้องการหรอก ไม่ซ้ำไม่เติมก็ขอบใจ……” ชื่นชมเขาและทีมงานบ้าง ในวันที่ทีมชาติไทยเล่นดี มีผลการแข่งขันที่ต้องการ หรือให้กำลังใจพวกเขาบ้าง ในวันที่ผลการแข่งขันไม่เป็นใจ และอีกอย่าง ตามเนื้อเพลงเลยครับ

ถ้าไม่ซ้ำเติม ก็ขอบใจ….

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline