logo-heading

สิ้นเสียงนกหวีดยาว หลังจบเกมที่ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ลูกบอลจากปลายสตั๊ดของ อดิศักดิ์ ไกรษร ที่ระยะ 12 หลา เหินข้ามคานไปเพียงไม่กี่วินาที นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่า ทีมชาติไทย อดีตแชมป์อาเซียนคัพ 5 สมัย ไปไม่ถึงดวงดาวที่ 6 ซะแล้ว

เพราะทำผลงานได้เพียงแค่เสมอกับ มาเลเซีย 2-2 ซึ่งเป็นผลทำให้ตกรอบรองชนะเลิศด้วยเหตุผลของอะเวย์โกล หลังจากนัดแรกบุกไปเสมอ “เสือเหลือง” มาได้ที่สกอร์ 0-0 เบ็ดเสร็จทั้งหมด 6 เกม ทีมชาติไทย ชนะ 3 เกม และเสมออีก 3 เกม ไม่แพ้ใคร แต่ก็ไม่ดีพอที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งต้องยอมรับว่า ผลงานภาพรวมนั้น ถือว่าทำไม่ได้ตามเป้า และทำไม่ได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นจริงๆ เพราะสามเกมที่ชนะนั้น เกิดขึ้นที่บ้านของตัวเอง ส่วนเกมเยือนทั้งหมด 2 นัด ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งที่อยู่ในภูมิภาคอาเซียนได้เลย โดยมีอีกเกมที่เสมอในบ้านด้วย ก็คือเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ทีมชาติไทย ในยุคของ มิโลวาน ราเยวัช มีแทคติกในการเล่นฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนที่แตกต่างจากเดิม จากยุคของกุนซือรายอื่นๆ เพราะเขาเลือกที่จะเล่นเกมรับเป็นหลัก ไม่ว่าจะเจอกับทีมใดก็ตาม แล้วจะคอยโจมตีหวังทำประตูจากจังหวะสวนกลับ

“เป็นความแปลกใหม่ ที่ยังมองไม่เห็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวแบบจับต้องได้ เป็นความแปลกใหม่ ที่ทุกคนรอดูว่าท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร”

โอเคหล่ะว่า เกมในบ้านกับ ติมอร์-เลสเต้, อินโดนีเซีย และ สิงคโปร์ “เหล่านักเตะช้างศึก” สามารถเอาตัวรอดได้ และเก็บชัยชนะได้ เนื่องจากยังมีความห่างกันอยู่ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับบางเกม ที่มีเงื่อนไขของแฟนบอลเจ้าบ้านที่คอยกดดัน และสภาพสนามที่แตกต่าง หรือในบางเกมที่เกมรับไม่ทำงานตลอดทั้ง 90 นาที รวมถึงเกมโต้กลับถูกมาร์คกิ้งจนไม่สามารถโจมตีได้ตามถนัด ก็ทำให้เห็นว่า ทีมชาติไทย ยังมีจุดอ่อนทั้งในเรื่องของการโจมตี (ยิงมาเลเซียไม่ได้ในเกมเยือน) และ เมื่อเล่นแต่เกมรับ ก็เหมือนรอโดน นัดไหนไม่โดนก็ดีไป แต่ถ้านัดไหนโดน แล้วยิงขึ้นนำอีกครั้งไม่ได้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็นจากเกมกับ มาเลเซีย

นี่แหละ ท้ายทีสุดที่ทุกคนรอเห็น นั่นคือ การตกรอบรองชนะเลิศ ในศึกอาเซียน คัพ

ที่ผ่านมา ทีมชาติไทย มักจะมีจุดอ่อนในการเล่นเกมรับกับทีมที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นผลทำให้พ่ายแพ้ บางครั้งก็แพ้ขาด บางครั้งก็แพ้หวุดหวิด และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ มิโลวาน ราเยวัช พยายามใส่ปรัชญาการเล่นฟุตบอลที่เน้นเกมรับเป็นหลักก่อน ให้กับทีมชาติไทย เล่นเกมรับให้ชิน เป็นข้อดีแน่นอน แต่บางครั้ง ก็กลายเป็นดาบสองคม เมื่อวันใดเกมรับไม่ทำงานได้อย่างที่หวัง จุดแข็งในเรื่องของเกมรับที่ทุกคนเคยพูดถึง กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกโจมตีอย่างหนัก หลังเสีย 2 ประตูในบ้าน จนทำให้ตกรอบด้วยกฏประตูทีมเยือน แม้จะยิงเสือเหลืองได้ 2 ประตูก็ตาม

ไม่แพ้ แต่ก็ไม่ดีพอจริงๆ ที่จะเข้ารอบชิงชนะเลิศ โจทย์เกมรับก็ต้องแก้ วิธีการทำงานในเกมรุก โดยเฉพาะเวลาเล่นนอกบ้าน ก็ต้องแก้

ทั้งนี้ นับจากวันนี้อีกเพียง 1 เดือน ทีมชาติไทย จะต้องลงสนามในศึกใหญ่ที่สุดของเอเชีย นั่นคือ การแข่งขันเอเชียนคัพ 2019 รอบสุดท้าย ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยูเออี, อินเดีย และ บาห์เรน จะเป็นด่านต่อไปของทีมชาติไทย ที่ต้องยอมรับว่า แข็งแกร่งกว่า มาเลเซีย, เวียดนาม, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย หรือทีมอื่นๆ ในย่านอาเซียนอยู่หลายขุม

ตกรอบรอง อาเซียน คัพ คือ ความจริงของทีมชาติไทย ที่เกิดขึ้นในยุคของ ราเยวัช และความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้า ในศึก เอเชี่ยนคัพ จะเป็นอย่างไร ช่างน่าติดตามอย่างยิ่ง…

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline