ฟุตบอล “เอเชี่ยนคัพ 2019” เพิ่งเตะกันไปแค่ 2 วันแบบทีมอื่นยังไม่ทันลงสนามด้วยซ้ำ แต่ “ทีมชาติไทย” ที่คาดหวังจะเข้ารอบน๊อกเอาท์ดัน “วงแตก” ปลดโค้ชไปเรียบร้อยแล้ว !!!
ความพ่ายแพ้ของ “ช้างศึก” ต่อ “อินเดีย” ในนัดแรก 1-4 กลายเป็นนัดอำลาเมืองไทยของ มิโลวาน ราเยวัช ไปในทันที
จริงๆแล้วกุนซือชาวเซอร์เบียได้รับมอบหมายภารกิจว่าต้องพาทีมชาติไทยเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายหรือรอบน็อกเอาท์ให้ได้เป็นอย่างน้อย หากผิดจากนี้คือ....บ๊ายบาย
แต่แค่เกมแรก “ราเยวัช” ก็ถูกปลดเสียแล้ว เพราะการปราชัยต่อทีมจาก “แดนภารตะ” แบบ “หมดสภาพ” ทำให้ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตัดสินใจที่จะ “แยกทาง”

จริงๆ แล้วความพ่ายแพ้มันเกิดขึ้นได้เสมอในเกมฟุตบอล และ อินเดีย ไม่ได้เล่นเป็นแค่ “คริกเกต” แต่ฟุตบอลอยู่อันดับที่ 97 ของโลกดีกว่า ไทย ที่อยู่อันดับ 118 ด้วยซ้ำ
ทว่าฟอร์มการเล่นของ “ช้างศึก” เป็นอะไรที่ยากจะรับได้จริงๆ หลายคนคาใจ “ราเยวัช” ในหลายๆอย่าง ตั้งแต่การจัดตัว เปลี่ยนตัว และ แทคติก
ถ้าลงรายละเอียดจริงๆ ถือว่าน่างงอยู่เหมือนกัน ในเกมระดับอาเซียนอย่าง “ซูซูกิคัพ” ดันซ้อม “เกมรับ” เสียทุกเกมจนโดนด่าและล้มเหลวหยุดเส้นทางแค่รอบรองชนะเลิศ
แต่พอไปถึงเกมที่ใหญ่กว่าในระดับเอเชียอย่าง “เอเชี่ยนคัพ” ดันเน้น “เกมรุก” จัดผู้เล่นแนวรุกลงสนามเป็นส่วนใหญ่ แถมแทคติกคือเปิดลุย ไม่มีกั๊ก
การได้ 3 นักเตะที่เล่นใน “เจลีก” มาช่วยอาจทำให้ “ราเยวัช” มั่นใจมากขึ้นเลยกล้าบุก (หรือเปล่า) แต่ดันพลาดที่ใช้ผู้เล่นไม่ถูกตำแหน่ง ศักยภาพเกมรุกเลยไม่เฉียบขาดอย่างที่จะเป็น
“ปีก” ตัวริมเส้นทั้ง 2 ฝั่งไม่ใช่ตำแหน่งอาชีพที่ถนัด กองกลางตัวรับไม่ใช่ “ผึ้งงาน” ที่ขยันไล่บอล ปัญหาเกมรับที่พยายามให้เป็น “จุดแข็ง” ก็มีปัญหาตลอดแบบยังแก้ไม่หาย

ที่เจ็บที่สุดคือ “การเปลี่ยนตัว” ที่ดูจะคาใจและขัดใจชาวประชาเสียเหลือเกิน เพราะไม่ได้เปลี่ยนเกมหรือช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมาเลย
สรุปรวมความแล้ว “ราเยวัช” รับผิดชอบไปเต็มๆทั้งการจัดตัว เปลี่ยนตัว แทคติก แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดที่ต้องมีการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก”
เท่าที่ได้ข้อมูลมาทั้งวิธีการทำทีม ฝึกซ้อม และสไตล์การเล่นของ “ราเยวัช” ทำให้นักบอล “อึดอัด” และไม่แฮปปี้มาพักใหญ่แล้ว ยิ่งล้มเหลวใน “ซูซูกิคัพ” ยิ่งอาการหนัก
สมาคมฯแก้ปัญหาด้วยการดึง โชคทวี พรหมรัตน์ เข้ามาเป็นผู้ช่วยอีกคนเพื่อเป็น “ตัวกลาง” ที่จะเชื่อมระหว่างนักฟุตบอลกับโค้ชให้เข้ากันให้มากขึ้น
แต่เหมือนสถานการณ์ไม่ดีขึ้นเท่าไร การฝึกซ้อมและวิธีการเล่นของ “ราเยวัช” ดูจะไม่ทำให้นักเตะมีความมั่นใจมากขึ้นเท่าใดนัก
เมื่อลงสนามนัดแรกแล้วโดน อินเดีย ไล่ยำจึงกลายเป็นการวงแตกในที่สุด !!!

เบื้องหลังการปลด “ราเยวัช” เกิดขึ้นเมื่อ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เรียกคนที่เกี่ยวข้องมาหารือในดึกคืนวันที่ฟุตบอลไทยโดนคนไทยด่าทั้งประเทศนั้นละ
ตามรายงานข่าวระบุว่ามีทั้งที่ปรึกษาฯ ผู้อำนวยการทีมชาติไทย ฝ่ายต่างประเทศ ฝ่ายเทคนิค ผู้ฝึกสอนไทย รวมถึงนักฟุตบอลอีก 5 คนถูกเรียกมาคุยกันเพื่อหาทางออก
แม้บางคนจะบอกว่าเกมยังเหลืออีก 2 นัด และบางรายบอกว่าขอรับผิดชอบร่วมกัน แต่ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า “ไม่เอา ราเยวัช แล้ว”
ที่สุดแล้ว “บิ๊กอ๊อด” จึงตัดสินใจ “ปลด” และมีการออกข่าวทันทีในช่วงกลางดึกที่ ยูเออี หรือก่อนเช้ามืดเวลาไทย ถือเป็นการปิดฉาก 1 ปี 6 เดือนของ “ราเยวัช” กับทีมชาติไทย
ไม่มีการยืนยันว่าทีมงานของ “ราเยวัช” อีก 6 คนทั้ง ผู้ช่วยโค้ช โค้ชประตู โค้ชฟิตเนส ล่าม นักวิเคราะห์เกม นักดูแลสมรรถภาพร่างกาย จะยุติการทำงานทั้งหมดทันทีเลยหรือไม่
แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไปกันยกแผง เพราะบางตำแหน่งมีทีมงานคนไทยทำอยู่แล้ว ทั้งนี้คงต้องรอความชัดเจนจาก สมาคมฯ อีกครั้งว่าสรุปอย่างไร

สำหรับการทำทีมจากนี้เป็นหน้าที่ของ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย และ โชคทวี พรหมรัตน์ ที่จะรักษาการคุมทีมแทนใน 2 นัดที่เหลือกับ บาห์เรน และ ยูเออี
“โค้ชโต่ย” มีดีกรีระดับ “เอ ไลเซนส์” อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาในการทำหน้าที่รักษาการ ส่วนผลงานของทีมชาติไทยจะดีขึ้นหรือไม่คงต้องลุ้นกันต่อไป
ขณะที่ “บิ๊กอ๊อด” ต้องรับชะตากรรมจากวาทะกรรมของตัวเองที่ว่า “ใครไม่อาย ผมอาย” ไปอีกพักใหญ่แน่นอน แต่ประเด็นที่ว่าต้องลาออกเพื่อรับผิดชอบผลงานนั่นคงยาก
กรณีนี้มองกันต่างมุมมีทั้งฝ่ายที่ว่า “บิ๊กอ๊อด” ต้องรับผิดชอบความล้มเหลวของทีมชาติ แต่อีกฝ่ายมองว่าฟุตบอลแพ้ทำไมต้องปลดนายกฯ เรื่องอื่นที่ทำดียังมีตั้งเยอะ
เถียงกันไปไม่มีจบแน่เรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆวาระทำงานของ “บิ๊กอ๊อด” เหลือแค่ 1 ปีเท่านั้น ดูแล้วคงขออยู่ต่อไปจนครบเทอมนั่นละ แล้วค่อยไปว่ากันใหม่ในการเลือกตั้งช่วงต้นปี 2563
กว่าจะถึงวันนั้นฟุตบอลไทยยังมีอะไรระหว่างทางอีกเยอะแยะมากมาย ทุกๆอย่างเกิดขึ้นได้หมดในวงการฟุตบอลของประเทศนี้
“บับเบิ้ล”