logo-heading

ไม่ว่าผลการแข่งขันในรอบน็อกเอาท์ที่รออยู่ของนักเตะไทยจะเป็นอย่างไร แต่ “เอเชียนคัพ 2019” จะเป็นอีกบทประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองไทยที่ต้องถูกพูดถึงอีกยาวนาน

นี่คือ “ดราม่าลูกหนัง” ที่กลายเป็นประเด็นระดับชาติมาติดต่อกันหลายวันแล้ว ใครเลยจะเชื่อว่าทีมที่ “วงแตก” ตั้งแต่จบนัดแรกหลังพ่าย “อินเดีย” แบบหมดสภาพ 1-4 จะกลายเป็นทีมที่ตีตั๋วเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการเป็น “รองแชมป์กลุ่ม” คำว่า “ฟ้าหลังฝน” น่าจะอธิบายถึงสถานการณ์ของฟุตบอลไทยยามนี้ได้ดีทีเดียว กระแสต่างๆกลับมาดีงาม เสียงที่เคยก่นด่าแบบเกือบทั้งประเทศกลายมาเป็นคำชื่นชม ยกเว้นเพียงแค่ “พวกอคติ” เท่านั้นที่อาจอกแตกตายไปแล้ว !!! ความสำเร็จเบื้องต้นของทีมชาติไทยใน “เอเชียนคัพ 2019” เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุปัจจัย ขอยกเครดิตให้ทุกคนตั้งแต่ระดับบริหารมาจนถึงผู้ปฏิบัติ “เอเชียนคัพ 2019” ดราม่าฟุตบอลไทย !!! ผู้นำอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ถือว่า “ชนะเดิมพัน” ในเกมนี้ เมื่อกล้าที่จะตัดสินใจปลด มิโลวาน ราเยวัช ออกจากตำแหน่งกุนซือ ไม่น่าจะมีครั้งไหนที่ฟุตบอลไทยมีการปลดโค้ชในทัวนาเมนต์แข่งขันแบบนี้ แต่ต้องบันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ใหม่ว่าใน “เอเชียนคัพ 2019” ไทยปลดโค้ชตั้งแต่จบเกมแรก การปลด “มิโล” ในวันนั้น กระแสไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับ “บิ๊กอ๊อด” ไปเสียหมด ใครหลายคนบอกให้นายกฯ “ลาออก” ถึงขั้นจะล่ารายชื่อไล่เลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อ “บิ๊กอ๊อด” ชนะเดิมพันในการเปลี่ยนโค้ชทุกอย่างจึงดีขึ้น กระแสต่างๆ เงียบไป รวมถึงการกล้า “ขอโทษ” กับหลายๆอย่างที่ทำให้แฟนบอลไม่พอใจทำให้ทุกอย่างยิ่งดีกว่าเดิม ไม่รู้ว่า “บิ๊กอ๊อด” คิดอะไร หรือมีใครชี้นำ แต่การกล้าออกมาบอกว่า “ขออภัย” แบบนี้เข้าท่ากว่าตอนที่มี “สารจากโฆษกสมาคมฯ” พูดถึงเรื่อง “เปลี่ยนม้ากล้างศึก” เยอะเลย บรรยากาศต่างๆในตอนนี้จึงคลี่คลายไปมาก กระแสส่วนใหญ่ดีขึ้น “บิ๊กอ๊อด” โดนด่าน้อยลง ส่วนคนที่กลายมาเป็นพระเอกทันทีคือ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ว่ากันว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” ดังนั้นการพาทีมชนะ “บาห์เรน” 1-0 เสมอ “ยูเออี” 1-1 จนทีมผ่านเข้ารอบน๊อกเอาท์จึงทำให้ “โค้ชโต่ย” กลายเป็น “ฮีโร่” ในทันที   “เอเชียนคัพ 2019” ดราม่าฟุตบอลไทย !!! “โค้ชโต่ย” อาจชื่อเสียงดังไม่มาก แต่ไม่ใช่ “โลว์โปรไฟล์” แน่นอน เคยปั้นเด็ก “โอสถสภา อคาเดมี” ได้ดีมาหลายคน อีกทั้งพา “ไทยฮอนด้า” ก้าวขึ้นสู่ลีกสูงสุดของเมืองไทย วิชาโค้ชเรียนถึงระดับ “เอไลเซนส์” และร่วมทำงานกับ “มิโล” มาตลอด 1 ปี 6 เดือน การถูกดันขึ้นไปเป็น “กุนซือชั่วคราว” ของทีมชาติไทยในยามนี้จึงถือว่าเหมาะสม “โค้ชโต่ย” แสดงให้เห็นแล้วว่าสมาคมฯตัดสินใจไม่ผิด ทีมชาติไทยกลายเป็น “ทีมใหม่” ลงไปเล่นด้วยความมั่นใจและงัดความสามารถออกมาได้เต็มสูตรต่างจากนัดแรกแบบคนละเรื่อง เท่าที่ได้ยินมาจากแคมป์ทีมชาติไทย “โค้ชโต่ย” ได้รับคำชมในเรื่อง “การจัดการคน” สามารถดึงความสามารถนักเตะออกมาได้ ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่ง สปีริตเกินร้อย นักเตะได้ทำหน้าที่ตามบทบาทที่ตัวเองถนัด ขณะที่แทคติก เทคนิค ถือว่าสอบผ่านเลย ปรับรูปแบบการเล่นมาเป็น 3-4-1-2 หรือ 3-5-2 ไม่ใช่รับเต็มตัว แต่เปิดสู้ได้แบบลุ้นสนุก การแก้ปัญหาสถานการณ์ต่างๆถือว่าทำได้ดีเช่นกัน ทีมชาติไทยเจอปัญหาตัวหลักแบน แต่ทรงของทีมไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก อย่างเกมกับ “เจ้าภาพ” เซนเตอร์ตัวหลักแบน ตัวใหม่ลงไปก็เจ็บโดนเปลี่ยนออก “โค้ชโต่ย” สั่งปรับระบบใหม่เป็นยืน “แบ็กโฟว์” ตามความถนัดของผู้เล่นที่อยู่ในสนามทันที หลายๆอย่างดูเหมือนว่าเข้าท่าและเป็นไปด้วยดี แต่อยากจะบอกแฟนๆว่าใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรีบอวย “โค้ชโต่ย” จนโอเวอร์ นี่แค่การเริ่มต้นเท่านั้น ระยะทางยังอีกยาวไกล “เอเชียนคัพ 2019” ดราม่าฟุตบอลไทย !!! อนาคตของ “โค้ชโต่ย” จะเป็นอย่างไรคงต้องว่ากันอีกทีหลังเสร็จภารกิจ “เอเชียนคัพ 2019” อย่างเป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องเร่งเอาคำตอบในตอนนี้

แต่ส่วนตัวแล้วขอเป็นอีกคนที่สนับสนุนให้ “โค้ชโต่ย” รับหน้าที่ในทีมชาติไทยต่อไป ไม่ว่าจะในสถานะ “เฮดโค้ช” หรือสตาฟฟ์โค้ช แต่กุนซือคนนี้ต้องอยู่กับ “ช้างศึก” ต่อไป

ขณะที่นักเตะทีมชาติไทยทุกคนต้องชื่นชมเป็นพิเศษเช่นกัน ทุกคนไม่มีถอดใจ ต่างรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกอบกู้สถานการณ์ของทีมจนผ่านเข้ารอบไปได้สำเร็จ แม้อาจจะมีดราม่าเล็กๆเกี่ยวกับเรื่องโค้ชคนเก่า แต่นั่นเป็นเรื่องของ “ความรู้สึก” ไม่ใช่เรื่องการทำหน้าที่ เพราะเมื่อลงสนามแล้วทุกคนเต็มร้อยเสมอ “เอเชียนคัพ 2019” ถือเป็นเวทีที่นักเตะไทยได้พิสูจน์เลยว่าอยู่ในระดับไหนของเอเชีย จากที่เห็นไม่ใช่ว่าเราเป็นรองหรือห่างหลายก้าวอีกต่อไป ขอเพียงแค่ “มั่นใจ” เท่านั้นสู้ได้สบาย ถึงตรงนี้คงต้องโฟกัสไปที่ด่านต่อไปคือเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่จะเจอ เกาหลีใต้ หรือ จีน ในวันที่ 20 ม.ค. ไม่ว่าจะเจอทีมไหนทีมชาติไทยไม่มีความจำเป็นต้องเกรงกลัว ดราม่ามาตั้งแต่นัดแรก แล้วจะสร้างดราม่าต่อไปอีกมันจะยากตรงไหน สู้ต่อไป...ไทยแลนด์                                                                                   “บับเบิ้ล”  
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline