logo-heading

นักเตะทีมชาติไทยยุติเส้นทางใน “เอเชียนคัพ 2019” ที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่าย  จีน ทีมอันดับ 76 ของโลกไปแบบน่าเสียดาย 1-2

ขอใช้คำว่า “น่าเสียดาย” ต่อการปราชัยของนักเตะไทย เพราะเกมกับทีมจากแดน “มังกร” บอกได้เลยว่า “ช้างศึก” สู้ได้สบาย แต่เราแค่ยังไม่ดีพอที่จะชนะเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องน่าอายสำหรับผลงานของนักเตะทีมชาติไทย นี่คือเกมระดับ “ชิงแชมป์เอเชีย” ไม่ใช่เกมระดับภูมิภาคใกล้ๆบ้านเสียที่ไหน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อไม่ดีพอก็ต้องยอมรับว่าเขาดีกว่า กีฬามีแพ้และชนะ “ชนะได้ ต้องแพ้เป็น” ดังนั้นการที่มีแฟนบอลบางคนไปตามด่านักฟุตบอลเพื่อหา “แพะ” สังเวยความปราชัย หรือ “กระทืบซ้ำ” ทีมชาติไทยจึงเป็นเรื่องเลอะเทอะที่สุด !!! การวิพากษ์วิจารณ์ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครห้ามไม่ให้ด่าหรือว่านักเตะและทีมชาติไทย แต่การตามไปด่าถึงพื้นที่โซเชียลของนักฟุตบอลแบบจิกหัวมันเป็นอะไรที่ “ล้ำเส้น” เกินไป น่าสงสัยว่าแฟนบอลกลุ่มน้อยที่มีพฤติกรรมไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแบบนี้เพิ่งหัดดูบอลหรืออย่างไร เอาอะไรมาคิดว่าฟุตบอลไทยเป็นทีมแถวหน้าของเอเชียที่แพ้ในเกมระดับนี้ไม่ได้ บอลแพ้ทำไมต้องหา “แพะ” หรือ “กระทืบซ้ำ” !!! ตรงกันข้ามกับแฟนบอลส่วนใหญ่ที่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรจึงให้กำลังใจกันมากกว่าเอาแต่คอยด่า บางคนบอกว่า “ควรภูมิใจกับทีมชาติไทยด้วยซ้ำที่สู้ได้สมศักดิ์ศรี” อย่าลืมว่านี่คือการกลับไปสู่เกมระดับชิงแชมป์เอเชียอีกครั้งในรอบกว่า 12 ปี  และเป้าหมายก่อนขึ้นเครื่องไป “ยูเออี” คือ “เข้ารอบน็อกเอาท์” เป้าหมายต่ำไปหรือไม่อย่างไรคงต้องแล้วแต่มุมมอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ “ตามเป้า” ที่สำคัญคือระหว่างทางก่อนจะมาถึงรอบ 16 ทีมมันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ทีมชาติไทยทำท่าจะตกรอบตั้งแต่แพ้ อินเดีย แบบหมดสภาพในเกมแรก 1-4 แล้ว นาทีนั้นคนด่าทั้งประเทศ ทีมแทบจะหมดความหวังแบบไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ทุกคนไม่ว่าจะเป็น สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ผู้ฝึกสอน นักฟุตบอล ต่างรวมใจกันใหม่ จนปลุก “ช้างศึก” ให้ตื่นมาสู้แล้วกู้ศรัทธากลับคืนมาได้สำเร็จ ทุกคนล้วนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ สมาคมฯ ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการสั่งปลด มิโลวาน ราเยวัช ออกจากตำแหน่งกุนซือ ไม่มีใครรู้หรอกว่าการเปลี่ยนแปลงจะดีหรือไม่ ค่าชดเชยที่ต้องจ่ายอีกจะเป็นเงินเท่าไร แต่ที่สุดแล้วสมาคมฯ “ชนะเดิมพันนี้” ไม่งั้นคงได้เก็บของกลับบ้านตั้งแต่จบรอบแรกไปแล้ว บอลแพ้ทำไมต้องหา “แพะ” หรือ “กระทืบซ้ำ” !!! ขณะที่ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ต้องรับเผือกร้อนขยับขึ้นคุมทีมชาติไทยแทน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับกุนซือที่ไม่เคยมีประสบการณ์เป็น “เฮด” ในระดับทีมชาติมาก่อน แต่ “โค้ชโต่ย” จัดการปรับเปลี่ยนทีมชาติไทยจนเหมือนคนละทีม ทั้งระบบการเล่น วิธีการเล่นก่อนจะพาทีมเข้ารอบด้วยการชนะ บาห์เรน 1-0 และเสมอ ยูเออี 1-1 ทีมชาติไทยผ่ายเข้ารอบ 16 ทีมด้วยการเป็น “รองแชมป์กลุ่ม” ไม่ใช่ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 จาก 6 กลุ่มด้วยซ้ำ เกมรอบน็อกเอาท์นักเตะไทยยังเล่นได้ดี ยิงขึ้นนำจีนก่อนในรูปเกมที่ไม่ได้เป็นรอง แต่ทำได้ไม่ดีพอที่จะเป็นผู้ชนะเท่านั้น ซึ่งมันมีหลายเหตุผลปัจจัยในเกมนี้ น่าเสียดายที่ทีมชาติไทยอยู่ในสภาพที่ไม่ฟูลทีม นักเตะทั้งเจ็บและแบนหายไปถึง 4 คน และต้องยอมรับว่า “ความเก๋า” ของ “โค้ชโต่ย” เป็นรองกุนซือระดับโลกอย่าง มาร์เซโล ลิปปี อย่าลืมว่าทีมจีนที่ทีมชาติไทยแพ้นั่นนะมีโค้ชที่เคยชูถ้วยแชมป์โลกมาแล้วคุมทีมอยู่ เงินค่าจ้างแพงมหาศาล ขณะที่โค้ชของไทยคือ “กุนซือขัดตาทัพ” ค่าจ้างห่างกันลิบลับ เรื่องแทกติค การเปลี่ยนตัว หรืออะไรก็ตามแต่มันเป็นสิ่งที่โค้ชต้องตัดสินใจในเวลานั้น ไม่มีใครรู้ก่อนหรอกว่าจะถูกหรือผิด อีกทั้งผู้เล่นที่มีให้ใช้งาน “โค้ชโต่ย” ไม่ได้เลือกมาเองด้วย ทุกอย่างมันล้วนมีเหตุและผล พึงสำนึกว่าตอน “โค้ชโต่ย” พาทีมชนะเชิดชูกันดุจเทวดา แล้วเวลาแพ้จะมากระทืบซ้ำกันทำไม ดูตามสภาพความเป็นจริงหน่อยดีมั้ย บอลแพ้ทำไมต้องหา “แพะ” หรือ “กระทืบซ้ำ” !!! สำหรับตัวนักฟุตบอลต้องยอมรับความจริงว่าศักยภาพนักเตะไทยไม่ได้เหนือกว่าชาติใดเลย ทัวนาเมนต์นี้มีบางคนเท่านั้นที่ได้มาตรฐานเอเชีย แต่อีกหลายคนถือว่าสอบไม่ผ่าน ทว่าเรื่องหัวจิตหัวใจไม่ต้องพูดถึง ทุกคนเต็มร้อยทุกนัดไม่มีถอดใจ ส่วนคำว่า “เตะไล่โค้ช” เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินไป นักบอล “ไม่เอาโค้ช” เป็นเรื่องความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับโค้ชคนเก่า แต่ไม่ใช่จะเตะไล่โค้ช การเตะไล่โค้ชหมายถึงไม่เต็มร้อย เจตนาให้ผลการแข่งขันไม่ดี แต่เท่าที่เห็นเวลาลงสนามทุกคนเล่นเต็มที่ตามแทคติกของโค้ช และคงไม่มีใครโง่อยากลงสนามไปเล่นแล้วให้ถูกด่าในยุคโซเชียลแรงๆแบบนี้แน่นอน

ฟุตบอลแพ้คือแพ้ มันเป็นเรื่องของกีฬา ไม่ต้องตามหา “แพะ” เพื่อกระทืบซ้ำใคร ชนะไปด้วยกันก็ต้องแพ้ไปด้วยกันทั้งทีมและทั้งประเทศ สู้ต่อไป....ไทยแลนด์

                                                                                   “บับเบิ้ล”  
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline