logo-heading

ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยปิดฉากภารกิจช่วง “ฟีฟ่าเดย์” ด้วยตำแหน่งรองแชมป์ฟุตบอล “ไชนาคัพ 2019” ที่จีน แม้จะเป็น “ท่านรอง” แต่หลายคนปรบมือให้ทัพ “ช้างศึก”

ทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำที่สุดจากทั้ง 4 ชาติที่ร่วมดวลแข้ง แต่ผลงานถือว่าร้ายกาจ นัดแรกประเดิมชนะ “เจ้าภาพ” จีน หวุดหวิด 1-0 ชัยชนะเกมนี้ไม่ใช่แค่การถอนแค้นจากที่แพ้ใน “เอเชียนคัพ 2019” ได้สำเร็จเท่านั้น แต่ฟอร์มการเล่นของทีมชาติไทยถือว่าประทับใจด้วย ส่วนนัดชิงชนะเลิศแพ้ “อุรุกวัย” ทีมอันดับ 7 ของโลกไปตามสภาพและมาตรฐาน 0-4 แบบนักเตะไทยยังได้รับคำชื่นชม นี่คือการปราชัยต่อทีมที่มีอันดับโลกห่างกันถึง 108 อันดับและเป็นทีมที่เพิ่งผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย “ฟุตบอลโลก 2018” ดังนั้นจึงไม่มีคำว่าเสียหายสำหรับทีมชาติไทย นักเตะไทยมีแต่กำไรและได้ประโยชน์อื้อซ่าเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เล่นกับทีมระดับโลกอย่าง “อุรุกวัย” แถมยังไม่ต้องเสียเงินจ้างอีกต่างหากด้วย คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ทีมชาติไทยเอาไงต่อ ? แต่บางคนยังมีความสงสัยและตั้งคำถามว่า “ทีมชาติไทยได้อะไรจากการเล่นกับอุรุกวัย ?” ตรงนี้ตอบแบบกว้างๆคงหนีไม่พ้นคำว่า “ประสบการณ์” ที่หมายรวมถึงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแทคติค เทคนิค ทั้งแบบทีมและบุคคล เรื่องพวกนี้เรียนรู้ได้จากตำราวิชาการ แต่เทียบไม่ได้กับการได้สัมผัสประสบการณ์จริง ในโลกของฟุตบอลการเจอทีมที่เก่งกว่าย่อมได้ประโยชน์อยู่แล้ว บ่อยครั้งที่คนพูดกันว่า “เตะกับคนเก่งบ่อยๆ เดี๋ยวก็เก่งตาม” อันนี้จริงแท้แน่นอน เพราะถ้าเตะกับทีมที่มาตรฐานต่ำกว่าแล้วจะได้ประโยชน์อะไร การเจออุรุกวัยของทีมชาติไทยคือการ “เปิดโลก” ให้เจอกับทีมที่ไม่ใช่ “อาเซียน” ที่แทบจะจำกลิ่นตัวกันได้ หรือทีมระดับแถวหน้าเอเชียที่นานๆจะเจอกันทีด้วย ดังนั้นทัวนาเมนต์ “ไชน่าคัพ 2019” จึงเป็นอะไรที่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับทีมชาติไทย แนวทางของ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่เน้น “ฟีฟ่าเดย์” ให้เกิดประโยชน์สูงสุดถือว่า “สอบผ่าน” อย่างไรก็ดีถึงตรงนี้คงต้องมองที่ก้าวต่อไปแล้วว่าทีมชาติไทยจะเอายังไงกันต่อ ? ทัวนาเมนต์ต่อไปคือฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47 ในช่วง “ฟีฟ่าเดย์” รอบต่อไปเดือนมิถุนายน จากนั้นต่อด้วย “ฟุตบอลโลก 2022” ที่ “ช้างศึก” จะเริ่มเตะในรอบคัดเลือก รอบ 2 หรือรอบ 40 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย ในเดือนกันยายน ดูจากปฏิทินแล้วทั้ง 2 รายการต้องสอดคล้องกัน นั่นคือ “คิงส์คัพ” ต้องเตรียมทีมสำหรับ “ฟุตบอลโลก” แต่ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องแผนงาน โดยเฉพาะประเด็น “เฮดโค้ช” ที่เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเสียทีว่าจะเอายังไง !!! ทีมชาติไทยเอาไงต่อ ? แน่นอนละว่า “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย และ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ คงทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้ แม้ผลงานของ “โค้ชคนคู่” จะไม่ขี้เหร่ แต่ติดปัญหาเรื่อง “ไลเซนส์” ตรงนี้เป็นสิ่งที่คุยกันมานานแล้วและไม่ควรมี “ดราม่า” อะไรทั้งสิ้น ทั้ง “โค้ชโต่ย” และ “โค้ชโชค” รู้ดีว่าเมื่อจบ “ไชน่าคัพ 2019” คงต้องมีการเปลี่ยนแปลง ทั้ง 2 คนไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งหรือเรียกร้องอะไรใดๆด้วยเพราะทราบดีว่ามีข้อจำกัดที่ “ไลเซนส์” ที่โค้ชทีมชาติต้องจบระดับ “โปรไลเซนส์” เท่านั้น เกมระดับนานาชาติมีการเข้มงวดเรื่องพวกนี้มาก คงใช้วิธีการแบบหลายทีมใน “ไทยลีก” ทำกันคือใส่ชื่อคนที่มีไลเซนส์ในตำแหน่งกุนซือ แต่ในทางปฏิบัติให้อีกคนทำทีมคงไม่ได้ แต่ทั้งนี้มีบางกระแสบอกว่าหากต้องการ “โค้ชโต่ย” คุมทีมชาติไทยจริงๆ ยังพอมีหนทาง เพราะไทยเพิ่งเปิดอบรม “โปรไลเซนส์” เป็นคอร์สที่ 2 จึงอาจขอให้ “เอเอฟซี” อนุโลมได้ แนวทางนี้เคยมีคุยกันหลังการปลด มิโลวาน ราเยวัช ออกจากตำแหน่งใหม่ๆ แล้วให้ “โค้ชโต่ย” ขึ้นคุมทีมแทน แต่หลังจากนั้นเรื่องเงียบหายไปจนไม่รู้ว่าจะยังไงต่อแน่ ทีมชาติไทยเอาไงต่อ ? ทว่าข่าวอีกกระแสเริ่มหลุดออกมาว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ หาโค้ชคนใหม่ได้แล้ว ว่าที่กุนซือคนใหม่เป็นชาวยุโรปมาจากชาติที่ไม่เคยมีโค้ชมาคุมทีมชาติไทย กุนซือคนใหม่นี้น่าจะมีความเกี่ยวพันกับ “เอคโคโน” ที่ถูกจ้างมาพัฒนาเยาวชนไทยอยู่ และเคยมีประสบการณ์ร่วมทำงานกับสโมสรดังอย่าง “อาแจกซ์ อัสเตอร์ดัม” ของฮอลแลนด์ แต่ทั้งหมดนี่ยังไม่มีการยืนยันใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นแค่ข่าวที่ยังต้องรอความชัดเจนจาก สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ดูจะใจเย็นเสียเหลือเกิน ทั้งทีเวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว

ทีมชาติไทยจะเอาไงต่อควรต้องรีบเคลียร์ให้ชัดจะได้รีบลงมือทำ โค้ชมาใหม่ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ แล้วจะชักช้าอยู่ใย ?

 

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline