logo-heading

โลกลูกหนังขยับเข้าสู่ช่วงเวลา “ฟีฟ่าเดย์” แล้วครับ โปรแกรมสโมสรจะหยุดพักไปก่อน รอบนี้ “สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ” กำหนดให้วันที่ 19-27 มี.ค.เป็นเกมที่ทีมชาติจะได้เตะกัน

สำหรับทีมชาติไทยมีคิวลงแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 22-25 มี.ค.ที่ราชมังคลากีฬาสถาน นี่คือทัวนาเมนต์แรกอย่างเป็นทางการในปี 2018 ของทัพนักเตะ “ช้างศึก” และนี่คือการแข่งขันชิงถ้วยอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเมืองไทย เพราะนี่คือ “ถ้วยพระราชา” ตำนานของฟุตบอล “คิงส์คัพ” เริ่มตั้นขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2511 หรือกว่า 50 ปีมาแล้ว และปัจจุบันถือเป็นทัวนาเมนต์ที่เก่าแก่ที่สุดของทวีปเอเชียที่ยังมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ย้อนอดีตกลับไปในช่วง “ยุคทอง” ของฟุตบอลไทยเมื่อพ.ศ.2511 นักเตะจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาผ่านเข้าไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ “เม็กซิโก ซิตี้ 1968” หลังกลับจาก “โอลิมปิกเกมส์” ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลไทย สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดย พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค นายกสมาคมฯ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดแข่งขันฟุตบอล “คิงส์คัพ” “ในหลวง รัชกาลที่ 9” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาต พร้อมพระราชทาน “ถ้วยถมทองคำ” สำหรับทีมชนะเลิศรายการ “คิงส์คัพ” นั่นคือจุดเริ่มต้นตำนานที่ยิ่งใหญ่ของฟุตบอล “คิงส์คัพ” ที่ยังจัดแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทัวนาเมนต์อื่นๆต่างเลิกลาไปตามกาลเวลา หรือไม่ก็ไม่ได้จัดแข่งขันเป็นประจำทุกปี ทัวนาเมนต์ที่เคยโด่งดังในวันวานไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลฉลองเอกราชเวียดนามใต้ “เมอร์เดก้าคัพ” ของมาเลเชีย “ปักจุงฮีคัพ” ของเกาหลีใต้ ฯลฯ ต่างเหลือเพียงแค่ความทรงจำ ฟุตบอล “คิงส์คัพ” อาจจะมีเว้นช่วงบ้างในบางปีที่ไม่ได้จัด แต่ยังถือว่าเป็นทัวนาเมนต์ที่จัดแข่งขันแบบต่อเนื่องมาตลอดกว่า 50 ปี อดีตที่ผ่านมาของ “คิงส์คัพ” ได้ต้อนรับนักเตะระดับโลกมากมายหลายคน รวมถึงซูเปอร์สตาร์ระดับเอเชียและอาเซียนที่เคยมาดวลแข้งแล้วทั้งนั้น ริวัลโด้, โรเบอร์โต้ คาร์ลอส, คาฟู, โรนัลดินโญ่, ปีเตอร์ ชไมเคิล, ไบรอัน เลาดรู๊ป, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี, ชา บุม กุน, คาซูโยชิ มิอุระ นี่คือตัวอย่างบางส่วนของ “สตาร์” ที่เคยมา “คิงส์คัพ” แฟนบอลไทยทุกคนน่าจะมีความทรงจำกับฟุตบอล “คิงส์คัพ” ไม่มากก็น้อยละครับ คุยกันเรื่องนี้ทีไรมักนึกถึงความหลังทุกที “คิงส์คัพ” ในความทรงจำของผมนี่เริ่มตั้งแต่เด็กๆ สมัย “เพชฌฆาตหน้าหยก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ดวลลุ้นแชมป์กับ “โสมขาว” เกาหลีใต้ ยุคของ ซอย ซุน โฮ จำได้แม่นว่ายุคนั้น “ช่อง 7 สี” ถ่ายทอดสด ไทยกับเกาหลีใต้นี่สู้กันใน “คิงส์คัพ” แบบลุ้นกันสนุกถึงระดับยิงจุดโทษตัดสินแชมป์กันเลยทีเดียว จากนั้นมายังติดตามกันถ่ายทอดสดทุกครั้งหรือไม่ก็มีโอกาสเข้าไปร่วมเป็นคนดูในสนามด้วย ยุควันวานทีมชาติไทยจะมี 2 ชุด “ไทยเอ” และ “ไทยบี” เตะกันเป็นทัวนาเมนต์ ตอน “สนามแตก” ยุค “เดอะตุ๊ก” น่ะดูอยู่ทางทีวี แต่ตอน “ดรีมทีม” นี่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ กระทั่งได้มาเป็นนักข่าวนี่ส่วนใหญ่จะอยู่ในสนามมากกว่าดูทางทีวี “คิงส์คัพ” มีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆตามกาลเวลา จากทัวนาเมนต์ใหญ่กลายเป็น 4 ทีมตามข้อกำหนดของ “เอเอฟซี” สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ที่ต้องการลดเกมของทีมชาติลง สำหรับ “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 46 ที่กำลังจะแข่งขันนี่ต้องถือเป็น “ยุคใหม่” ตามที่ทาง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พยายามจะทำให้ดีขึ้นมาตลอดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การจัดแข่งขันให้ตรงตามช่วงเวลา “ฟีฟ่าเดย์” เพื่อให้แต่ละนัดเป็นเกมระดับ “เอ แมตช์” คือทุกชาติส่งชุดเอมาเล่นเพื่อส่งผลต่อการเก็บคะแนนอันดับโลก “ฟีฟ่า แรงกิ้ง” ด้วย ถามว่า “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 46 น่าดูขนาดไหน ตอบได้เลยว่า “มาก” ทั้งทีมชาติไทยเองที่มี “ดาวดัง” ที่ไปเล่นในต่างแดนกลับมาครบทั้ง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน และ ชนาธิป สงกระสินธุ์ ขณะที่ทีมคู่แข่งล้วนไม่ธรรมดาอันดับโลกดีกว่าไทยทั้งนั้น อันดับโลกล่าสุดที่ประกาศมี กาบอง อันดับ 95 ของโลกจากแอฟริกา สโลวาเกีย อันดับ 29 ของโลกจากยุโรป “ยูเออี” สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ อันดับ 79 ส่วนไทยอันดับ 129 ทุกชาติยืนยันเป็นชุดใหญ่ นั่นหมายความว่าอรรถรสการดวลแข้งต้องน่าดูชมแน่นอน นี่จึงเป็นทัวนาเมนต์ที่แฟนบอลไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ส่วนประเด็นอื่นๆที่ฝ่ายจัดฯพยายามสร้างสีสันก็ไม่ต้องไป “ดราม่า” กันเยอะครับ ถือว่าเป็น “เครื่องเคียง” ของกีฬายุคใหม่ที่เรียกว่า “สปอร์ตเอนเตอร์เทรนเมนต์” ดีกว่า ถึงเวลารวมใจไทยทั้งชาติเชียร์นักเตะทีมชาติไทยกันอีกครั้งแล้วครับ ไทยแลนด์..........สู้โว้ยยยยยยยยยยย

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline