logo-heading

ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะต้องรอคอยแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นปีที่ 30 ต่อไป หลังพ่ายแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ประจำซีซั่น ไปเพียงแค่ 1 คะแนน เท่านั้น แต่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทัพ "หงส์แดง" จะถูกจดจำเอาไว้ ว่านี่คือฤดูกาลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรพวกเขา

หลายสิ่งหลายอย่างที่ว่าเอาไว้ ว่าถูกหลอมรวมภายใต้ 5 ประเด็นที่จะถูกกล่าวถึงต่อไปนี้ กับอีกหนึ่งฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล ใกล้เคียงกับการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง

1. เสียประตูน้อยที่สุด

ปกติแล้วเกมรับของ ลิเวอร์พูล จะเป็นเหมือนบ่อน้ำมัน ที่ปล่อยให้ทีมอื่นๆแวะมายิงอยู่เรื่อยๆ เหมือนเช่นวลีที่ว่า "เสียเตะมุม เหมือนเสียจุดโทษ" อย่างไรก็ตาม เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้แก้ปัญหาเรื่องนี้กันมาตลอด ทั้งบ่มเพาะเรื่องเกมรับ, เสริมทัพตำแหน่งกับนักเตะที่คิดว่าใช่! จนกระทั่ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวดัตช์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิล ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกแห่งถิ่นแอนฟิลด์ 2 คนนี้เข้ามาสร้างอิมแพ็คให้กับ ลิเวอร์พูล อย่างมาก เพราะทำให้ "หงส์แดง" เสียประตูน้อยที่สุดในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ ด้วยจำนวนเพียงแค่ 22 ลูกเท่านั้น โดย อลิสซอน ถึงกับได้รางวัล "ถุงมือทองคำ" ไปครอง ด้วยการเก็บคลีนชีตไปถึง 21 เกม ขณะที่ ฟาน ไดค์ ก็เป็นปราการด่านน้ำแข็ง ที่คู่แข่งแทบไม่สามารถเลี้ยงหลบได้เลย ยามต้องดวลตัวต่อตัว และแน่นอนรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ของ พีเอฟเอ เป็นเครื่องการันตี

2. ยิงประตูเป็นดาวซัลโวของลีกอีกสมัย

เชื่อเหลือเกินว่า ถ้าถามว่า 3 ประสานแดนหน้า ทีมไหนกำลังฮอตปรอทแตกมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ หลายๆคนจะต้องนึกภาพ ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ 3 ดาวยิงแห่งค่าย "หงส์แดง" เข้ามาอยู่ในหัว เพราะทั้ง 3 คนนี้ ได้สร้างให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่พร้อมทำประตูตลอดเวลา อย่างเช่น โม ซาลาห์ เคยสร้างประวัติศาสตร์ซัลโว 32 ประตู บนวเที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มากที่สุดต่อ 1 ซีซั่น เมื่อฤดูกาล 2017-18 มันเคยมีประเด็นที่บนโลกโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค เย้ยหยันไว้ว่า ซาลาห์ ก็คงดังเปรี้ยงปร้างแค่ซีซั่นเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ซาลาห์ ได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด เพราะฤดูกาลล่าสุด ดาวยิงทีมชาติอียิปต์ ก็ถลุงคู่แข่งไปถึง 22 ประตู กลายเป็นดาวซัลโวอีกสมัย แต่ปีนี้มันพิเศษตรงที่ มาเน่ ก็กดไปถึง 22 ตุง เช่นกัน เท่ากับว่า ครองดาวซัลโวร่วมกัน โดยมี ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้า อาร์เซน่อล เข้ามาร่วมแจมด้วยอีกคน

3. แอนฟิลด์ นรกของทีมเยือน

เกมที่ ลิเวอร์พูล พลิกนรกกลับมาเอาชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบช็อคโลก มันสะท้อนให้เห็นถึงตัวตน โดยที่ไม่ต้องอธิบายผ่านตัวหนังสือใดๆ ว่านักเตะ "หงส์แดง" มีความเป็นนักสู้ และ ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ แม้เมฆหมอกจะปกคลุม หรือ ฟ้าฝนจะถล่มมากน้อยแค่ไหนก็ตาม และเรื่องราวปาฏิหาริย์มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้เล่นคนที่ 12 อย่าง "เดอะ ค็อป" ที่คอยหนุนหลัง แฟนบอลพร้อมใจกันตะโกนตลอด 90 นาที เมื่อเสียงเล็กๆมารวมกัน มันก็จะแผดเผาเข้าไปทำลายโสตประสาทของคู่แข่ง ไม่ขวัญหนีดีฝ่อ ก็จะรู้สึกช็อตไปดื้อๆ ด้วยพลังการทำทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มันยิ่งทำให้ทุกอย่างถูกปลุกเร้าเพิ่มเป็นทวีคูณ ดั่งเช่นที่ ลิเวอร์พูล ไม่เคยพ่ายแพ้คู่แข่งในถิ่นแอนฟิลด์ นับเฉพาะ พรีเมียร์ลีก มานานมากตั้งแต่ซีซั่นก่อน เรื่อยยาวมาจนถึงซีซั่นนี้ รวมไปแล้วทั้งสิ้น 38 เกม แบ่งเป็นชนะ 29 นัด และ เสมอ 9 นัด

4. เจอร์เก้น คล็อปป์ เจ้าพ่อเกมน็อคเอาท์เหย้า-เยือน

ทุกคนคงทราบกันอยู่แล้วว่า ลิเวอร์พูล ได้ผ่านเข้าไปแก้ตัว ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง เป็น 2 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยคู่ชิงดำของพวกเขา ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล นั่นคือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คู่แข่งจากเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถึงแม้ชีวิตของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเหมือนต้องคำสาปเอาไว้ให้เป็นเพียงพระรองตลอดกาล นับง่ายๆแค่ตอนย้ายมาคุม ลิเวอร์พูล ก็เป็นรองแชมป์ถึง 4 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นล่าสุด, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และ ลีก คัพ อย่างไรก็ตาม เจอร์เก้น คล็อปป์ นับเป็นหนึ่งในยอดโค้ชที่เป็นอัจฉริยะกับการวางแท็คติค สำหรับเกมการเล่นในรอบน็อคเอาท์ แบบระบบ เหย้า-เยือน เพราะตั้งแต่ที่ "เดอะ นอร์มอล วัน" เข้ามารับงานทัพ "หงส์แดง" เขาสามารถพาทีมเข้าไปถึงนัดชิงชนะเลิศเวทียุโรป ได้อยู่ตลอด ไล่มาตั้งแต่เข้าชิง ยูโรปา ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ซีซั่นติด ต้องมารอดูกันว่าซีซั่นนี้ คล็อปป์ จะล้างคำสาปคว้าแชมป์กับ ลิเวอร์พูล ได้หรือไม่

5. ลิเวอร์พูล ชุดประวัติศาสตร์

ถ้าพูดถึงผลงานส่วนบุคคลและสถานที่อย่าง แอนฟิลด์ ไปแล้ว แต่ถ้าไม่พูดถึงผลงานโดยรวมของ ลิเวอร์พูล ถือว่าผิด ! เอาจริงๆต่อให้ "หงส์แดง" จะไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์ลีกมาแล้วถึง 29 ปี แต่ซีซั่นนี้ คือชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพราะสมัยที่ ราฟาเอล เบนิเตซ กับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เคยกุมบังเหียนถิ่นแอนฟิลด์ และ พาทีมได้ลุ้นแชมป์ ก็ไม่เคยสัมผัสคะแนนแตะหลัก 90 แต้ม มาก่อนสักครั้ง แต่กับ ลิเวอร์พูล ยุค เจอร์เก้น คล็อปป ซีซั่นนี้ พวกเขาสะกดคำว่า "แพ้" เพียงแค่ 1 นัด เท่านั้น พร้อมกับเก็บชัยชนะได้มากถึง 30 นัด สิริรวมเก็บคะแนนไปมากถึง 97 คะแนน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ตั้งแต่โม่แข้ง พรีเมียร์ลีก หากเป็นฤดูกาลอื่นๆ "หงส์แดง" อาจจะได้แชมป์ลีกแบบยักษ์ใหญ่ทีมอื่นไปบ้างแล้ว น่าเสียดายที่โลกนี้ยังมีชายอีกคนที่ชื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คอยขัดขวางเอาไว้ บางทีนี่มันอาจเป็นการกระตุ้นให้กับ ลิเวอร์พูล รู้ว่าถ้าอยากให้การรอคอย 30 ปี สิ้นสุดลง จำเป็นจะต้องทำผลงานให้มันดีกว่านี้ ให้มันดีกว่าการเป็นรองแชมป์ด้วยแต้ม 97 คะแนน
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline