logo-heading

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47 สรุปโปรแกรมดวลแข้งเรียบร้อยแล้ว นัดแรกวันที่ 5 มิ.ย. คู่แรก อินเดีย พบ กือราเซา และคู่ที่ 2 ไทย พบ เวียดนาม

นี่คือการประกบคู่แข่งขัน ไม่ใช่ “จับสลาก” แต่ก็แปลกที่ “สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ” ในฐานะ “เจ้าภาพ” พยายายามบอกว่าเป็นการจับสลากประกบคู่ !!! ไม่ใช่เรื่องแปลกและเสียหายหากใช้วิธีประกบคู่แทนการจับสลาก เพราะ “เจ้าภาพ” เลือกได้อยู่แล้วว่าต้องการเจอใครในทัวนาเมนต์พิเศษที่จัดแข่งขันขึ้นเองแบบนี้ แว่วว่าสมาคมฯกลัว “ดราม่า” จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆเลยออกข่าวให้ดูว่า “แฟร์” ถือเป็นสไตล์ของสมาคมฯ ยุคนี้อยู่แล้วในการออกข่าวให้ดูดีทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ผ่านไปแล้วคงไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจอีก เอาที่สมาคมฯ สบายใจไปแล้วกัน ที่สำคัญยังมีเรื่องอื่นที่อยู่ในข่ายไม่น่าสบายใจและต้องสนใจมากกว่า ดราม่าทีมชาติไทยลุย “คิงส์คัพ” !!! การที่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ออกข่าว “วอนสมาคมฯอย่าเรียกนักเตะติดคิงส์คัพ หวั่นฟอร์มแย่ทำทีมชาติพัง” ถือเป็นประเด็น “ดราม่า” และน่าสนใจมากๆ เสียงสะท้อนจากข่าวนี้เกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เห็นด้วย เห็นค้าน อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนจะพิจารณา อันดับแรกต้องมองไปที่เหตุผลของ “กิเลนผยอง” ที่ระบุชัดในเรื่องผลงาน ทั้งของสโมสรที่ตกไปอยู่ตำแหน่งบ๊วยในตารางคะแนน “ไทยลีก” รวมถึงผลงานนักเตะที่โชว์ฟอร์มไม่ออกหลายคน สโมสรจึงมองว่าไม่ควรเรียกแข้ง “กิเลน” ไปติดทีมชาติไทย เกรงว่าจะส่งผลต่อทัพ “ช้างศึก” ที่หวังลุ้นแชมป์ “คิงส์คัพ” ว่ากันว่านี่คือ “ความหวังดี” ที่สโมสรมีต่อทีมชาติไทย แต่ใครอีกหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าการเลือกผู้เล่นเป็น “หน้าที่” ของ “ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย” มากกว่า ประเด็นนี้ถือว่าละเอียดอ่อนและน่าแปลกมากๆ ตามปกติแล้วมักเห็นสโมสรที่เชียร์นักเตะในสังกัดว่าควรมีใครได้โอกาสติดทีมชาติบ้าง

แต่นี่กลับเสนอว่าอย่าเรียกนักเตะในทีมไปติดทีมชาติ !!!

ว่ากันตามตรงคงไม่มีกุนซือคนไหนที่เรียกนักเตะฟอร์มไม่ดีไปติดทีมชาติแน่ๆ ยกเว้นพวกโค้ชที่ไม่ขยันทำการบ้าน การเรียกตัวแต่ละครั้งจึงมีแต่พวกหน้าเดิมๆ ดราม่าทีมชาติไทยลุย “คิงส์คัพ” !!! แต่กรณีของ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย และทีมงานน่าจะเป็นคนละเรื่อง แต่ละสัปดาห์เห็นเข้าไปดูฟอร์มใน “ไทยลีก” อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการพิจารณาเลือกใครคงมีการหารือและกลั่นกรองกับทีมงานเป็นอย่างดีแล้ว เรื่องถูกใจหรือไม่ถูกใจแฟนบอลเป็นอีกเรื่อง แต่ที่แน่ๆ ต้อง “ถูกใจโค้ช” ผู้สันทัดกรณีหลายคนทั้งอดีตทีมชาติไทยหรือผู้ฝึกสอนบอกอีกว่า “องค์ประกอบ” ของสโมสรและทีมชาติแตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่อง “แทกติก” และ “เพื่อนร่วมทีม”  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นนักเตะบางคนฟอร์มดีกับสโมสร แต่ห่วยในทีมชาติ  ขณะที่บางคนห่วยในสโมสร แต่กลับเล่นดีในทีมชาติ อีกทั้งผลงานของสโมสรกับตัวนักเตะไม่จำเป็นต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป ผลงานของทีมกับคนมันแตกต่างกันได้ ดราม่าทีมชาติไทยลุย “คิงส์คัพ” !!! ลองนึกย้อนกลับไปถึงผลงานของ บีอีซี เทโรศาสน ฤดูกาล 2015 คงเห็นตัวอย่างชัดเจน ปีนั้น “มังกรไฟ” จบฤดูกาลที่อันดับต้องตกชั้น แต่นักเตะพาเหรดไปติดทีมชาติไทยหลายคน ผลงานของทีมชาติไทยช่วงปี 2015 ใช่ว่าจะแย่ จนแฟนบอล “มังกรไฟ” น้อยใจด้วยซ้ำ ทีมชาติไทยเอานักเตะไปทำผลงานหรู แต่สโมสรดันต้องหนีตกชั้น !!! นี่คือกรณีตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในวงการฟุตบอลไทยในเรื่องของสโมสรและทีมชาติไทย ลองพิจารณากันดูว่ามีความเหมือนและแตกต่างอย่างไร อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่สุดหลังจากนี้อยู่ที่ “โค้ชโต่ย” ว่าจะตัดสินใจอย่างไร สโมสรออกข่าวแค่ “วอน” แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปล่อยตัวให้กับทีมชาติไทย “โค้ชโต่ย” ต้องพิจารณาเลือกนักเตะที่คิดว่าเข้ากับระบบของทีมมากที่สุด และเป็นคนที่ดีที่สุดในมุมมองของตัวเอง การเลือกผู้เล่นทีมชาติไทยแต่ละครั้งไม่เคยมีที่ถูกใจทุกคนอยู่แล้ว ของแบบนี้ “ลางเนื้อชอบลางยา” คนเราชอบไม่เหมือนกัน ดราม่าทีมชาติไทยลุย “คิงส์คัพ” !!! ดูแล้วผู้เล่นของ “กิเลนผยอง” คงมีแค่ 4 รายที่น่าลุ้นลุย “คิงส์คัพ” คือ ธีรศิลป์ แดงดา, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น และ อดิศร พรหมรักษ์ ถ้าผู้เล่นของ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ดีจริงในสายตา “โค้ชโต่ย” หรือพิจารณาแล้วว่าตำแหน่งเหล่านี้ยังไม่มีใครดีกว่าก็ต้องเรียกมารับใช้ชาติ

เชื่อว่าทุกคนปราถนาดีต่อทีมชาติไทยอยู่แล้ว และคำว่า “ทีมชาติ” ต้องสำคัญที่สุด

 

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline