ท่ามกลางการต่อสู้แบบเข้มขั้นของแต่ละทีมทั้งบนและล่างตารางคะแนน “ไทยลีก” เสียงก่นด่าผู้ตัดสินเป็นสิ่งที่ได้ยินทุกสัปดาห์ เพราะท่านๆทั้งหลาย “ท็อปฟอร์ม” เหลือเกิน !!!
ปัญหาการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินมีมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคก่อนหน้านี้ที่ถูกมองว่า
“กังฉิน” มากกว่า
“ตงฉิน”
ถึงขั้นผู้ตัดสินโดนออกหมายจับข้อหาพัวพันล้มบอลยังมีมาแล้ว !!!
แต่มาถึงยุคนี้ภาพของความไม่เป็นกลาง ไม่โปร่งใส ถูดลดระดับลงไปเยอะ แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาเหมือนเดิมคือ
“มาตรฐานการตัดสิน”
โดยเฉพาะ “ไทยลีก” ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาบรรดา “ท่านเปา” ต่างท็อปฟอร์มจริงๆ ปกติ “คนเป่า” มักถูกแค่ทีมที่แพ้ด่า แต่วินาทีนี้โดนด่าทั้งทีมชนะและทีมแพ้
ถ้าดูเหตุการณ์ที่พลาดในหลายๆ เกม หากพูดแบบไม่ต้องเกรงใจกันสามารถใช้คำว่า
“ห่วยแตก” ได้เลย
นักฟุตบอลพุ่งเสียบเจตนาทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพชัดเจน แต่ดันไม่ถูกไล่ออก หรือจะต้องรอให้เสียบโดนจนขาหักก่อนถึงจะมีใบแดง ?
บางเกมผู้เล่นโดนเตะเห็นๆ คือชัดๆ ว่าลูกฟุตบอลไม่เปลี่ยนทาง แต่คนกระเด็นไปแล้ว ทว่าผู้ตัดสินดันไม่เห็น หลายสนามจึงไม่เป็นจุดโทษแบบงงทั้งคนดูและคนเล่น
ล่าสุดที่หนักๆ เลยคือกรณีที่มีการฟาวล์ในกรอบเขตโทษชนิดนักบอลก้าวเข้ากรอบ 18 หลายมาเป็นเมตร แต่ผู้ตัดสินดันเป่าให้เป็นฟรีคิกนอกเขตโทษจนคนด่าทั้งประเทศ
นี่แค่ตัวอย่างบางเหตุการณ์ที่เป็นประเด็นเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายจังหวะที่ดูแล้วละเหี่ยใจ โดยเฉพาะการ
“ยกล้ำหน้า” ที่ผิดพลาดบ่อยมากในเกือบทุกๆเกม
รวมถึงการพิจารณาจังหวะได้เปรียบ-เสียเปรียบ ปล่อยเกมไหล หรือการคาดโทษต่างๆ ที่เป็น
“ศิลปะ” ในการตัดสินดูจะเป็นปัญหาไม่น้อย
เข้าใจอยู่ว่าผู้ตัดสินเป็นมนุษย์ที่ผิดพลาดได้อยู่แล้ว ไม่มีใครไม่เคยพลาด แต่พลาดเกินไป พลาดบ่อย และพลาดแบบน่าเกลียดถือเป็นสิ่งที่ยากจะรับได้เช่นกัน
“คณะกรรมการผู้ตัดสิน” คือหน่วยงานสำคัญที่ต้องแก้ปัญหา
“เชิ้ตดำทำฟาวล์” ให้ได้ ที่ผ่านมาเห็นมีความพยายายมากมาย แรกๆ เหมือนจะดี แต่ทำไมไปๆมาๆ ไม่ได้ดีกว่าเดิม
องค์กรอย่าง
“สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” ต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย ทุกอย่างต้องดำเนินและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
คำถามที่หลายคนชักเริ่มสงสัยในตอนนี้คือ
การแก้ปัญหาทุกวันนี้แก้ถูกจุดหรือ “เกาถูกที่คัน” หรือไม่ ? และ
“มาตรฐานอยู่ตรงไหน ?”
เรื่องการพัฒนาผู้ตัดสินขออนุญาตไม่เอ่ยถึงอะไรมากมาย เพราะแต่ละสัปดาห์มีข่าว
“อบรม” ออกสื่อให้เห็นตลอดอยู่แล้ว
เดี๋ยวคณะกรรมการผู้ตัดสินจัดอบรมนู้น เดี๋ยวอบรมนั่น ติวเข้มอย่างนู้น ติวเข้มอย่างนั้น แต่ไม่รู้เวลาไปถึงสนามสิ่งที่อบรมมาตกหายไปไหนหมด !!!
ประเด็นที่น่าสนใจคือการแก้ปัญหาตรง
“วิธีการลงโทษ” หลังเกิดความผิดพลาดมากกว่า การสั่ง
“แบน” สถานเดียวมีทั้งด้านบวกและลบ
ทุกวันนี้หากผู้ตัดสินถูกร้องเรียนแล้วมีการพิจารณาว่าผิด โทษที่ได้รับคือแบนหรือ
“พักการทำหน้าที่” จะกี่สัปดาห์ว่ากันไปตามแต่กรณี
แง่บวกแน่นอนว่าเป็นการกระตุ้นให้ผู้ตัดสินต้องคอยพัฒนาตัวเองตลอดเวลา การทำหน้าที่ต้องเกิดความผิดพลาดให้น้อยที่สุด พลาดแล้วต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ไม่รู้ไม่ชี้
แต่อีกมุมด้านลบ ผู้ตัดสินส่วนใหญ่ใน “ไทยลีก” ล้วนเป็นมือดีระดับ
“ฟีฟ่า” กับ
“ชั้น 1” หากพวกนี้ผิดแล้วโดนแบนทุกกรณี ถ้าโดนเยอะๆ คนที่มาทำหน้าที่แทนจะเป็น
“มือรอง” ลงไป
ทีนี้ต้องมาลุ้นกันละว่ามาตรฐานหรือฝีไม้ลายมือสามารถทดแทนพวกที่ถูกแบนได้หรือไม่ ดีไม่ดีอาจหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วน การแบนคนที่พลาดเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ต้องหาความลงตัวให้เจอ ไม่งั้นจะเป็นวิธีการ
“ตัดปัญหา” มากกว่า
“แก้ปัญหา”
ส่วนมาตรฐานและวิธีการพิจารณาลงโทษจากที่เคยบอกว่า
“เป็นการภายใน” บทลงโทษผู้ตัดสินจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน อ้างอิงว่าเป็นไปตามระบบสากล
แต่ทำไมเกมที่มีปัญหาล่าสุด
พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน โฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ถึงรีบออกข่าวหลังแข่งจบแค่วันเดียวว่าลงโทษแบนผู้ตัดสินทันทีจนจบฤดูกาล
กระบวนการสอบสวนเหมือนที่ทำกับทีมอื่นๆหายไปไหน บางคดีชักช้าจนแพ้อุทธรณ์ด้วยเรื่อง
“กรอบเวลา” ยังเคยมาแล้ว แต่ไฉนรอบนี้ไหวจัง
อย่าเอาแค่กระแสแต่ต้องเป็นมาตรฐาน ไม่งั้นจะเจอข้อหา
“เอาใจแต่ทีมใหญ่” พึงสำนึกว่าทุกทีมเล่นลีกด้วยกัน โดนพิษผู้ตัดสินเหมือนกัน ควรได้รับการ
“ใส่ใจ” เท่ากัน
ผู้ตัดสินท็อปฟอร์มแบบแย่ๆ ต้องแก้ทั้งระบบ ไม่งั้นฟุตบอลไทยคงมีแต่พังกับพัง !!!
“บับเบิ้ล”