logo-heading
อีกเพียง 1 วัน เราจะได้รู้กันแล้วว่า ลิเวอร์พูล หรือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จะคว้าแชมป์รายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้ง 2 ทีมต่างเหมาะสมกับการเป็นแชมป์ทั้งคู่ แต่ทว่ามีเหตุผลบางประกาศที่จะส่ง ลิเวอร์พูล ไปคว้าดาวดวงที่ 6 มาประดับสโมสรดังนี้ 1. ลิเวอร์พูล สไตล์ คล็อปป์ เข้ามาเปลี่ยนแปลงแท็กติกให้ทีมเล่นได้น่ากลัวมากขึ้นตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015 คล็อปป์ ใช้ระบบเพรสซิ่งไล่บีบพื้นที่แบบดันสูงในแดนคู่แข่ง และพยายามแย่งบอลกลับมาให้ได้โดยเร็ว ซึ่งไม่ใช่แต่ผู้เล่นในแนวรับ ผู้เล่นแนวรุกยังต้องไล่บีบกดดันและฉกฉวยความผิดพลาดของคู่แข่งด้วย ทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เป็น 3 ประสานแนวรุกที่เล่นได้เข้ากับระบบของ คล็อปป์ ขณะที่แดนกลางทุกคนก็ทำได้ดีอย่างน่าพอใจ รวมไปถึงการเติมเกมริมเส้นของแบ็คทั้ง 2 ข้าง เทรนต์ และ โรเบิร์ตสัน ที่ต้องบอกว่าแอสซิสต์ได้เป็นกอบเป็นกำให้ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ จากเกมรุกที่น่ากลัว การไล่บี้กดดันคู่แข้ง เมื่อมองแนวรับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ต้องมารับมือแล้ว ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ดูดีกว่ามาก แนวรุกจัดจ้านขนาดไหนคงไม่ต้องพูดถึง เพราะผลงานแนวรุกการันตีด้วยการที่ 2 แข้ง อย่าง ซาลาห์ และ มาเน่ คว้า ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาลร่วมกันไปครอบครอง 2. เกมรับที่แข็งแกร่ง นับตั้งแต่ ลิเวอร์พูล ได้ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้ามาเสริมทัพ เกมรับของพวกเขาก็แข็งแกร่งและยกระดับขึ้น โดยเสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ สถิติของเกมรับการเสียประตู ลิเวอร์พูล เป็นต่อกว่า สเปอร์ส เล็กน้อย ถ้ามองโดยภาพรวม แนวรับ ของ ลิเวอร์พูล ทั้ง ฟาน ไดจ์ค เอง รวมถึง อลิสซอน เบ็คเกอร์ แบ็คทั้ง 2 ข้าง ต่างกวาดรางวัลส่วนตัวประจำฤดูกาลมามากมายในฤดูกาลนี้ น่าจะเพิ่มความมั่นใจให้พวกเขาได้อีกเป็นกอง และดูเหนือกว่า สเปอร์ส ณ เวลานี้ เสียประตูยากขึ้น แต่เกมรุกก็ดุขึ้น ต่างจาก สเปอร์ส ในตอนนี้พวกเขาก็ยังดูมีปัญหาทั้งในเกมรุกและรับ เห็นได้ชัดจาก 3 นัดหลังสุดในลีก รวมถึงเกมเจอ อาแจ็กซ์ ด้วย จริงอยู่ที่พวกเขาพลิกกลับมาชนะได้ แต่ส่วนหนึ่งแนวรับ อาแจ็กซ์ ไม่เก๋าพอด้วย 3. ประสบการณ์ถายใต้แรงกดดัน ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่มีประสบการณ์มากกว่า สเปอร์ส ในเรื่องของการเล่นรอบชิงชนะเลิศรายการใหญ่ สเปอร์ส ไม่เคยผ่านเข้ามาถึงรอบลึกขนาดนี้มาก่อน และนี่คือครั้งแรกที่พวกเขาก้าวขึ้นมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก บรรยากาศนัดชิงชนะเลิศ อาจกดดันแข้ง สเปอร์ส ได้ไม่น้อย เพราะรอบชิงชนะเลิศเป็นเกมที่เข้มข้นและจะพลาดไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาที จริงอยู่ว่า ลิเวอร์พูล ผิดหวังมาถึง 3 ครั้งในการเล่นรอบชิง ฟุตบอลถ้วยนับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามา ลิเวอร์พูล เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ รายการบอลถ้วยถึง 3 หน ได้แก่ แคปิตอล วันคัพ ปี 2016, ยูฟ่า ยูโรป้าลีก 2016 และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2018 แต่ก็ยังไม่สมหวัง ดังนั้นในครั้งนี้พวกเขาหมายมั่นปั้นมือ ที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้ หลังจากพลาดท่าเสียแชมป์ พรีเมียร์ลีก ให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยแพ้ไปเพียง 1 แต้ม ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของพวกเขามากทีเดียวกับการคว้าแชมป์รายการนี้ การคัมแบ็คกลับมาเอาชนะ บาร์เซโลน่า ได้ถึง 4-0 เป็นสุดยอดแมตช์แห่งฤดูกาลนั่นทำให้พวกเขามีความมั่นใจมาก อย่างไรก็ตามนี่คือเกมนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ สเปอร์ส พวกเขาก็ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศด้วยการสร้างปาฏิหาริย์มาเช่นกัน แต่เชื่อว่าประสบการณ์จะทำให้ ลิเวอร์พูล สมหวังในการคว้าดาวดวงที่ 6 มาครอบครอง 4. เสียงของกองเชียร์ แน่นอนว่ากองเชียร์ในสนามของทั้ง 2 ทีมคงไม่มีใครยอมใครแน่ สำหรับการส่งเสียงเชียร์ทีมที่ตัวเองรัก แตปฏิเสธไม่ได้ว่า กองเชียร์ ลิเวอร์พูล กลายเป็นกองเชียร์ที่โหดที่สุดในเวลานี้ ที่บอกว่าโหดที่สุด คือพวกเขาค่อนข้างมีพาสชั่น มีความคลั่งในทีม ต้งแต่การรวมตัวต้อนรับนักเตะ รวมถึงการส่งเสียเชียร์ตลอดทั้งเกม เห็นได้จากเสียงเชียร์ในนัด บาร์เซโลน่า ทั้งโห่กดดันใส่นักเตะ บาร์เซโลน่า ร้องเพลงเชียร์ทีมรักจนสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลา พลังกองเชียร์ของเหล่านักเตะคนที่ 12 คืออีก 1 สิ่งที่สำคัญมาก ไม่ใช่กองเชียร์ สเปอร์ส ไม่ดี แต่ถ้าหากเทียบความมั่นใจในเวลานี้ กองเชียร์ ลิเวอร์พูล ค่อนข้างมีความมั่นใจ และบ้าคลั่งมากกว่าอยู่หลายขุม พวกเขาคงจะกดดันคู่แข่งเต็มที่ และสงเสียงเชียร์นักเตะอย่างเต็มกำลังจนกว่าจะหมดเวลาที่ ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ อย่างแน่นอน พลังของกองเชียร์เป็นอีกหนึ่งอย่างนอกเหนือจากผลงานในสนามที่มีความหมายอย่างมากในเกมแบบนี้
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline