สัปดาห์ “ฟีฟ่าเดย์” ของโลกลูกหนังเริ่มต้นขึ้นแล้ว รอบนี้แฟนบอลชาวไทยทั้งแผ่นดินมี “ถ้วยพระราชา” ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47 ให้ได้ชมและเชียร์กัน
นี่คือทัวนาเมนต์ที่เก่าแก่และมีมนต์ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่ “สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ” ดำเนินการจัดแข่งขันมาตั้งแต่พ.ศ.2511 จากความสำเร็จของขุนพลนักเตะทีมชาติไทยที่ได้ไปโอลิมปิก “เม็กซิโกซิตี้ 1968” คือจุดเริ่มต้นที่ฟุตบอลไทยมีนโยบายจัดการแข่งขันเกมระดับนานาชาติของทีมชาติ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” ทรงพระราชทานถ้วยรางวัลให้แก่ทีมที่ชนะเลิศ โดย “คิงส์คัพ” จัดการแข่งขันมาแล้วถึง 51 ปี “คิงส์คัพ” ปีนี้เป็นการดวลแข้งครั้งที่ 47 ต้องปรบมือชื่นชม สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ยังคงให้ความสำคัญระบุโปรแกรมแข่งขันไว้ในช่วง “ฟีฟ่าเดย์” ทัวนาเมนต์ถูกยกระดับให้ทุกเกมได้รับการรับรองจาก “ฟีฟ่า” เป็นเกม “เอแมทช์” มีความหมายต่อการสะสมคะแนนอันดับโลก สำหรับทีมเชิญปีนี้แม้จะไม่มีระดับท็อป 50 ของโลกมาเหมือนครั้งล่าสุดที่ “สโลวาเกีย” ทีมอันดับ 29 ของโลกในตอนนั้นมาคว้าแชมป์กลับไป แต่ยังถือว่าน่าสนใจ “กือราเซา” ทีมจากทวีปคอนคาเคฟแถวๆทะเลแคริบเบียนเป็นทีมที่มีอันดับโลกสูงสุด “อันดับ 82” แน่นอนว่าชื่อเสียงด้านลูกหนังของ “กือราเซา” ไม่ใช่ทีมระดับที่เรียกแฟนได้ แต่ถ้าว่ากันถึงมาตรฐานฟุตบอลถือว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน นอกจากอันดับ 82 ของโลกแล้ว “กือราเซา” คือ “แชมป์แคริบเบียนคัพ 2017” ด้วย อีกทั้งบอลสไตล์จากทวีปโซนนี้นักเตะไทยยังไม่ค่อยได้เจอ ขณะที่ “อินเดีย” ทีมอันดับ 101 ของโลกอาจไม่ใช่ทีมที่หวือหวาอะไร แต่ย้อนไปใน “เอเชี่ยนคัพ 2019” ที่ถล่มไทย 4-1 จน มิโลวาน ราเยวัช ถูกปลดจากตำแหน่งคือประเด็นสำคัญ แฟนบอลเรียกร้องในตอนนั้นอยากให้เชิญ “อินเดีย” มาแก้แค้นใน “คิงส์คัพ” หน่อย สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จึงจัดให้ตามคำขอของแฟนๆ แต่ทีมชาติไทยมีสิทธิ์เจอได้แค่ทีมเดียวเท่านั้นระหว่าง “กือราเซา” กับ “อินเดีย” ที่ต้องเตะกันเองในนัดแรกวันที่ 5 มิ.ย. รอลุ้นแล้วกันว่าทีมไหนจะได้มาเจอ “เจ้าภาพ” ส่วน “เวียดนาม” ทีมอันดับ 98 ของโลกเป็นทีมที่น่าจะขายได้ที่สุดใน “คิงส์คัพ” หนนี้ แม้จะเป็นเพื่อนร่วมอาเซียนแต่ช่วงหลายๆปีนี้ต่างชิงดีชิงเด่นกับนักเตะไทย นักเตะ “ญวน” คือเบอร์ 1 อาเซียนในตอนนี้ พวกเขาซิวแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” มาครอง และทำผลงานในทีมชาติชุดอื่นได้ดีกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นคว้ารองแชมป์ “ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2018” ตามมาด้วยอันดับ 4 “เอเชียนเกมส์” ครั้งที่ 18 เมื่อปี 2018 และเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย “เอเชียนคัพ 2019” ตอนนี้ “มร.ปาร์ค” ปาร์ค ฮัง โซ กุนซือเกาหลีแทบจะเป็น “เทพเจ้าลูกหนัง” ของคนเวียดนามอยู่แล้วหลังเข้ามายกระดับนักเตะ “ดาวทอง” ขึ้นมาสู่ระดับเอเชีย แฟนบอลทั้งไทยและเวียดนามต่างเกทับบลัฟแหลกกันในโลกโซเชียลมาตลอดว่าใครเป็นเบอร์ 1 อาเซียนตัวจริงกันแน่ แต่ทั้ง 2 ชาติยังไม่ได้เจอกันในสนามซะที สมาคมกีฬาฟุตบอลฯจึงจัดให้ ไทย และ เวียดนาม มาเจอกันในเกมแรกของ “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47 ในวันที่ 5 มิ.ย.นี้เสียเลย นี่คือเกมระดับ 5 ดาวที่เชื่อว่าทั้งแฟนบอลไทยและเวียดนามรอชมแบบใจจดจ่อใจ ผลการแข่งขันในเกมนี้น่าจะตอบคำถามที่หลายคนคาใจได้เป็นอย่างดี เวียดนาม ประกาศรายชื่อแล้วถือว่ามาเต็ม ขณะที่ไทยถือเป็นชุดที่ดีที่สุดเหมือนกัน แม้ไม่มี ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่เจ็บจนต้องถอนตัว แต่คงเป็นข้ออ้างไม่ได้ นักเตะไทยลงเล่นในบ้านแบบนี้คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาชนะ เวียดนาม ให้ได้เท่านั้น หากเสมอยังลำบาก แต่ถ้าถึงขั้นแพ้คาบ้านรับรอบว่า “วงแตก !!!” ภารกิจนี้ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ต้องแบกรับความกดดันไปเต็มๆ และต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าพร้อมที่จะลุยต่อในฐานะ “กุนซือทีมชาติไทย” หรือไม่ ทัวนาเมนต์ “ฟุตบอลโลก 2022” รอบคัดเลือก รออยู่ในอีก 2 เดือนต่อจากนี้ แว่วว่า “คิงส์คัพ” อาจเป็นเกมตัดสินใจว่า “โค้ชโต่ย” จะได้ไปต่อ หรือต้องหาคนมาแทน อย่าลืมว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ยุค “ตามกระแส” มักไม่มีอะไรแน่นอน หากผลงานดีคือรอดตัว แต่ถ้าผิดจากนี้อาจต้องตัวใครตัวมัน ดังนั้น “โค้ชโต่ย” ต้องพิสูจน์ผลงานใน “คิงส์คัพ” ครั้งนี้กับขุนพลคู่ใจที่ตัดตัวมาแล้ว 23 คน แน่นอนว่ารายชื่อไม่ได้ถูกใจทุกคน แต่ถูกใจโค้ชเป็นอันจบถึงตรงนี้แล้วทุกคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเอง และเป็นเวลาที่รวมใจไทยทั้งชาติเชียร์ “ไทยแลนด์” กันอีกครั้ง....สู้โว้ยยยยยยยยยย
“บับเบิ้ล”