logo-heading

22 มีนาคม 2561 คือดีเดย์วันเริ่มศึกฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่อีกหนึ่งรายการของบ้านเราอย่าง "ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ" ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 46 มี 3 ชาติเข้าร่วมกับ "ช้างศึก" ได้แก่ ยูเออี , กาบอง และ สโลวาเกีย โดยวันนี้เราจะดวลกับ กาบอง หากชนะจะเข้าไปเจอกับผู้ชนะในอีก 2 ชาติที่เหลือ

ทันที่บอกว่าเป็น 3 ชาตินี้จะเข้าร่วม คิงส์คัพ แฟนๆ ชาวไทยต่างดีอกดีใจกันถ้วนหน้า เพราะด้วยดีกรีทีมที่ดีที่สุดในรอบหลายปี รวมไปถึงนักเตะที่จะมาก็มากไปด้วยดาวดัง จนทำให้กระแสคนอยากดูดีขึ้นทันควัน แต่จนแล้วจนรอดจนวันก่อนแข่งกระแสก็ตกลงไปฮวบๆ เพราะหลายคนเกิดความลังเลหรืออาจเปลี่ยนใจไม่มาดู หลังทราบข่าวว่า โอมาร์ อับดุลราห์มาน ยอดกองกลางยูเออี, มาเร็ค ฮัมซิค จอมทัพสโลวาเกีย และ ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง โคตรกองหน้ากาบอง ไม่สามารถมาร่วมเล่นได้ (ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน) แต่วันนี้ทีมงาน "ขอบสนามบอลไทย" ขอนำเสนอเหตุผลที่คุณควรไปดูฟุตบอล "คิงส์คัพ" ครั้งนี้ถึงที่สนาม ราชมังฯ ที่แม้ว่าตอนนี้จะเป็นสังเวียนไร้สตาร์ระดับโลก แต่ยังคงมีความน่าดูเหมือนเดิม !!!   ไร้สตาร์แต่ยังน่าดู!! 5 เหตุผลที่ควรไปชมคิงส์คัพถึงสนาม 1. ช้างศึกกลับมาลงสนามครั้งแรกในรอบ 5 เดือน นี่คือการกลับมาเตะฟุตบอลตามปฏิทิน "ฟีฟ่าเดย์" อีกครั้งของทีมชาติไทย และนับเป็นครั้งแรกในปีนี้ (2018) หลังจากห่างหายไปสักพักใหญ่ๆ ตั้งแต่เดือน ต.ค. ของปีที่แล้ว ดังนั้นการกลับมาเตะเกมแรกในรอบหลายเดือนแบบนี้ ถ้าเราไม่มาให้กำลังใจก็ดูจะแร้งน้ำใจไปหน่อย แม้ว่า 3 ชาติที่เข้าร่วมอย่าง ยูเออี, สโลวาเกีย.และ กาบอง จะมีสตาร์ที่ถอนตัวไป แต่การได้ดูทีมชาติไทยในสนามก็น่าจะช่วยทำให้พลังเชียร์ในหัวใจเราได้สูบฉีดกันอีกครั้งไม่มากก็น้อยแน่นอน   ไร้สตาร์แต่ยังน่าดู!! 5 เหตุผลที่ควรไปชมคิงส์คัพถึงสนาม 2. ไปดูเพลงใหม่ BNK48 ณ ราชมังฯ ขอเอาความเป็น โอตะ ของ BNK48 มาเล่นหน่อยล่ะกันครับ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่สำคัญของบ้านเรา ที่แฟนๆ บอลไทยจะได้ดูฟุตบอลควบคู่กับการดูเกิร์ลกรุ๊ปเน็ตไอดอล ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีปรากฎมาก่อนว่าของแบบนี้ควบคู่ไปด้วยกันได้ และแม้ว่าหลายคนอาจจะยังไม่อินกับเพลงหรือวัฒนธรรมของ BNK48 มากนัก แต่เชื่อเถอะว่าการเข้ามาในวงการกีฬาของพวกเธอได้ผลมากกว่าการตลาดทั่วไปแน่นอน เพราะตอนนี้มันถูกพูดถึงแบบ ทอร์คออฟเดอะทาวน์มากๆ และที่สำคัญในวันที่ 22 มี.ค.นี้ สาวก BNK48 จะได้ฟังเพลงใหม่ของพวกเธอป็นครั้งแรกที่สนามราชมังคลากีฬาสถานนี้อีกด้วย   ไร้สตาร์แต่ยังน่าดู!! 5 เหตุผลที่ควรไปชมคิงส์คัพถึงสนาม 3. ได้ดู "แข้งไทย" ชุดใหญ่ก็คุ้มแล้ว !!! ข้อนี้เหมือนที่บอกไว้ข้างต้นว่าเราควรโฟกัสที่ ทีมชาติไทย เป็นหลัก ดังนั้นแม้ว่า โอมาร์ อับดุลลาห์มาน (ยูเออี), มาเร็ค ฮัมซิค (สโลวาเกีย) และ ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง (กาบอง) จะไม่ได้มาร่วมลงโชว์ฝีเท้าในคิงส์คัพครั้งนี้ แต่เรายังมี "มุ้ยซัง" จาก ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า, "บุญจัง" จาก วิสเซล โกเบ และ "ชนาคุง" มิดฟิลด์ 2 ตุงจาก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ให้ได้ดู รวมไปถึง "กวินทร์แห่งลูเวิน" นายด่านจากเบลเยี่ยมที่กลับมาโชว์สกิลบินสวยๆ ให้ได้ดูกันด้วย ซึ่งชุดนี้เป็นทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่เราเชียร์กันมาตลอดในปีที่ผ่านมา แม้ว่าตอนนี้หลายคนจะกระจัดกระจายไปเล่นยังต่างแดน แต่พอถึงเวลาเล่นเกมสำคัญพวกเขาก็กลับมารวมตัวเล่นเพื่อชาติ ดังนั้นผมว่าแค่เราได้ดู ทีมชาติไทย ของเราแค่นี้ก็คุ้มแล้วนะ   ไร้สตาร์แต่ยังน่าดู!! 5 เหตุผลที่ควรไปชมคิงส์คัพถึงสนาม 4. ก็ยังพอมีนักเตะดังให้ชุ่มชื่นหัวใจ แม้ว่า 3 สตาร์ที่ดังที่สุดของทั้ง 3 ชาติจะไม่ได้มาร่วมฟาดแข้ง คิงส์คัพ ในครั้งนี้ แต่อย่างน้อยๆ ชื่อนักบอลที่ผมจะเอ่ยจากนี้ มาร์ติน ดูบราฟกา (นิวคาสเซิ่ล), มาร์ติน สเคอร์เทล (เฟเนร์บาห์เช), มิลาน สคริเนียร์ (อินเตอร์ มิลาน), ออนเดรจ ดูดา (แฮร์ธา เบอร์ลิน), สตานิสลาฟ โลบอตก้า (เซลต้า บิโก้) ก็ยังพอค้นหูกับแฟนๆ ฟุตบอลชาวไทยอยู่บ้าง ดังนั้นฟุตบอลชิงถ้วยพระราชาในครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว ยิ่งถ้าไปดูแรงกิ้งของ 3 ชาติที่มาในครั้งนี้ท็อป 100 ของโลกทั้งนั้น ผมกล้ารับประกันว่า คิงส์คัพ ครั้งนี้ ยังดีกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมาแน่นอน   ไร้สตาร์แต่ยังน่าดู!! 5 เหตุผลที่ควรไปชมคิงส์คัพถึงสนาม 5. "ถ้วยพระราชา" ที่ยังมีมนต์ขลังเสมอ นี่คือการแข่งขันชิงถ้วยอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเมืองไทย เพราะนี่คือถ้วยพระราชา ที่ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต พร้อมพระราชทาน “ถ้วยถมทองคำ” สำหรับทีมชนะเลิศ และแม้ว่าฟุตบอลรายการอื่นๆ ได้เลิกลาไป แต่ในรายการ “คิงส์คัพ” ยังเป็นทัวร์นาเมนต์ที่จัดแข่งขันมาตลอดกว่า 50 ปี แม้จะมีเว้นช่วงไปบ้าง แต่ก็ยังกลับมาจัดเสมอ ดังนั้นครั้งที่ 46 นี้จึงเป็นเครื่องพิสูจน์คุณค่าของถ้วยอันศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ และเราในฐานะแฟนฟุตบอลชาวไทยก็ควรเข้าร่วมให้เกียรติถ้วยที่เก่าแก่นี้สนามด้วยนะครับ    

บทความโดย : บอลกูรู (เจษดาพร ศรีสรง) ภาพโดย : FA Thailand

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline