ปิดฉากรูดม่านกันไปเรียบร้อยกับศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 47 ที่ดินแดนอีสานใต้ จ.บุรีรัมย์ ด้วยการคว้าอันดับที่ 4 ของทีมชาติไทย และการคว้าแชมป์แรกในประวัติศาสตร์ของทีมชาติกือราเซา
ต้องยอมรับการตามตรงว่าคิงส์ คัพ หนนี้ทีมชาติไทย ทำผลงานน่าผิดหวังที่สุดเลยก็ว่าได้ ถ้าเทียบกับคิงส์ คัพ ที่ผ่านๆ มา เป็นครั้งที่เราเล่นกันได้ไม่ดีเลย ทั้งสองนัด แพ้แบบยิงประตูคู่แข่งไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นที่น่าจดจำเลยสำหรับทีมช้างศึกในคิงส์ คัพ หนนี้ มันไม่เหมือนกับตอนที่จัดงานแถลงข่าวกันครึกโครมเมื่อเดือนก่อน ทุกอย่างมันน่าผิดหวังไปหมด มีสิ่งเดียวที่พอจะเชิดหน้าชูตาให้ได้บ้างก็คือเป็นเจ้าภาพของบุรีรัมย์ รวมทั้งฝ่ายจัดของสมาคมฯ ที่ได้รับคำยกย่องว่าจัดการแข่งขันได้ยอดเยี่ยม ทั้งเรื่องการดูแลอำนวยความสะดวกกับทีมงานนักกีฬา ผู้ตัดสิน และผู้เกี่ยวข้องต่างๆ โอเค กลับมาที่เรื่องทีมชาติไทย แน่นอนสำหรับแฟนบอลไทย ทุกคนผิดหวังกับผลงานที่มันเกิดขึ้น โดยเฉพาะแฟนบอลที่ต้องลางาน เสียค่าเดินทาง ซื้อตั๋วเข้าไปชมเกมในสนาม แต่พวกเขากลับได้ดูทีมชาติไทยที่เล่นกันไม่เหมือนทีมชาติไทยที่เรารู้จักมาก่อนเลย ก่อนหน้านี้ทั้งในเอเชี่ยน คัพ 2019 รวมทั้งแมตช์อุ่นเครื่องไชน่า คัพ ทีมชาติไทยได้รับการยกย่องว่าเล่นได้ยอดเยี่ยม ภายใต้การคุมทีมของ "โค้ชโต่ย" ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย และผู้ช่วยอย่าง โชคทวี พรหมรัตน์ อย่างในเอเชียน คัพ แม้จะตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยการแพ้ทีมชาติจีน ของ ลิปปี้ 2-1 แต่ก็เป็นการพ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี และสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม มีแต่เสียงคำชื่นชม และเสียงบ่นเสียดาย อย่างในไชน่า คัพ เราก็กลับไปล้างแค้นจีนได้สำเร็จ และไปแพ้อุรุกวัย ทีมระดับโลกในรอบชิงชนะเลิศ 0-4 แต่มันเป็นเกมที่เราเล่นกันได้ดี และก็สู้สุดใจแล้ว มันเป็นการแพ้เรื่องของชื่อชั้นนักเตะ และศักยภาพระหว่างทีมระดับโลก กับทีมในอาเซียน ซึ่งทุกคนยอมรับได้ และด้วยผลงานทั้งสองรายการที่พูดถึงนั้น ก็ทำให้แฟนบอลชาวไทยก็มั่นใจว่าจะได้เห็นฟอร์มอันยอดเยี่ยมแบบนั้นในคิงส์ คัพ หนนี้ และยิ่งทีมที่เราเชิญมาก็เป็นทีมที่แฟนบอลต่างเรียกร้องอยากจะให้สมาคมฯ เชิญทีมเหล่านี้มาเตะ อย่าง อินเดีย เราก็อยากล้างแค้นที่แพ้มาในเอเชียน คัพ และเวียดนาม ที่เขาได้แชมป์ซูซูกิ คัพ ก็เพราะว่าไม่เจอกับไทย ซึ่งเราต้องการจะวัดว่าใครเป็นเบอร์หนึ่งอาเซียนตัวจริง ทั้งหมดเป็นความคิดเข้าข้างตัวเองของแฟนบอลและทีมชาติไทยเองทั้งหมด ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มองตัวเอง และรู้ตัวเองดีพอว่าอยู่ตรงจุดไหน สุดท้ายเราก้แพ้ให้กับสองทีมที่เราคิดว่าจะเอาชนะพวกเขาได้ จริงอยู่ว่าทั้งสองนัดเราแพ้ด้วยสกอร์ 0-1 คือเกมมันไม่ได้ห่างเหินอะไรขนาดนั้น แต่บอลมันแพ้ก็คือแพ้อะครับ และถ้าจะเจาะจงในรายละเอียด รูปแบบการเล่น ก็ต้องบอกเลยว่า เราเล่นได้ไม่ดีเลยในทั้งสองเกม แต่ถึงกระนั้น ประเด็นที่จะบอกก็คืออย่างน้อยความพ่ายแพ้และความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในคิงส์ คัพ หนนี้ มันก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และกลับไปทบทวนนำสิ่งที่ผิดพลาดไปปรับปรุงแก้ไข แพ้ในคิงส์ คัพ มันไม่มีอะไรเสียกายมากนัก ก็แค่แรงกิ้งฟีฟ่าไม่ขยับ และมีผลต่อการจับสลากบอลโลก รอบคัดเลือก แต่ถึงต่อให้คว้าแชมป์ได้ ผมก็คิดว่าเราจะอยู่ในโถ 3 อยุ่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมาก ผลงานฟุตบอลคิงส์ คัพ มันไม่ได้เสียหายอะไร แต่อาจจะมีบ้างเรื่องความรู้สึกด้านสภาพจิตใจแค่นั้น แต่ทัวร์นาเม้นท์ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกที่จะมาในเร็วๆ นี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะคิกออฟนัดแรกกันเดือนกันยายนนี้ นั้นคือรายการที่เราจะต้องโฟกัส และทำผลงานมันออกมาให้ดี จะเรียกว่าแก้ตัวจากทัวร์นาเม้นท์นี้ก็ว่าได้ อย่างน้อยในคิงส์ คัพ เราแพ้มาแล้ว เราก็มีบทเรียนเพื่อมาแก้ไขในคัดเลือกบอลโลก ดีว่าที่สมมติเราชนะมาในคิงส์ คัพ แล้วเราก็ผยอง สุดท้ายมาตกม้าตายในคัดเลือกบอลโลก มันก็จะน่าผิดหวังกว่านี้คือสำหรับทีมฟุตบอลทีมหนึ่งแล้ว จะระดับสโมสรหรือระดับทีมชาติ มันไม่มีทางที่เราจะเล่นได้ดีตลอดทุกนัด ชนะคู่แข่งได้ทุกนัดอยู่แล้ว มันก็ต้องมีวันที่เล่นไม่ดีบ้าง เล่นไม่ออกบ้าง ก็เหมือนกับนักฟุตบอล ที่ต่อให้เก่งขนาดไหน มันก็ไม่มีวันเล่นได้ดีทุกนัดหรอก
แต่สำคัญก็คือเมื่อเล่นไม่ดีแล้ว ก็ต้องกลับมาพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นในนัดต่อๆ ไป ไม่ใช่อยู่กับที่ ไม่ดียังไงก็ไม่ดีเหมือนเดิม แพ้อยู่เหมือนเดิม หรือย่กว่าเดิมแบบนั้น
แต่ผมเชื่อว่าทีมชาติไทยของเราจะไม่เป็นแบบนั้น ผมคิดว่าเราจะกลับมาทำได้ดีในแมตช์ต่อไป เพราะทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น และคงไม่ยอมให้มันผิดหวังอีกครั้งแน่นอน ส่วนจากนี้ก็อยู่ที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ทั้งเรื่องของทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ว่าจะใช้ทีมงานชุดเดิมต่อไหม หรือจะหาใครเข้ามาคุมทีมต่อจากนี้ ก็คงต้องรับคิดและจัดการให้เร็ว เพื่อว่าทีมงานสตาฟฟ์ จะชุดเก่าหรือชุดใหม่จะได้มีเวลาเตรียมทีมหาตัวผู้เล่น และวางแผนการฝึกซ้อมให้ดีที่สุด ก่อนลงเตะบอลโลก รอบคัดเลือก จะเอายังไงก็ต้องรับจัดการ ซึ่งมาถึงตรงนี้แล้ว ความคิดส่วนตัวของผมก็คิดว่าทางสมาคมฯ คงหากุนซือคนใหม่แน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ก้มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนมาหลายรอบแล้ว แต่มันยังไม่มีจังหวะที่เหมาะสม เพราะผลงานทีมชาติมันดี แต่ครั้งนี้ผมว่ามันคงได้จังหวะแล้วแหละที่สมาคมฯ จะตั้งกุนซือคนใหม่ขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม โค้ชโต่ย เองก้น่าจะยังคงอยู่ในทีมงานสตาฟฟ์เหมือนเดิมในตำแหน่งผู้ช่วย ผมคิดว่าอย่างนั้น ส่วนใครจะเข้ามาคุมทีมชาติไทยคนต่อไป เร็วๆ นี้คงได้รู้กันมูซาชิ