logo-heading

สิ้นสุดการแข่งขันในเลกแรกไปแล้ว สำหรับการแข่งขันฟุตบอลศึกไทยลีก 2019 ซึ่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สามารถทำแต้มขึ้นมาจนจบด้วยการเป็นแชมป์เลกแรกได้

ทว่าการที่ทีมแกร่งอย่าง “ปราสาทสายฟ้า” ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ มันยังไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจมากนัก เพราะด้วยศักยภาพทีมที่แข็งแกร่ง และความสม่ำเสมอกว่าคู่แข่ง ทำให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ควรจะได้ ในทางกลับกันประเด็นที่น่าสนใจมากกว่า กลับกลายไปอยู่ที่ ทีมบ๊วยของตารางอย่าง “ช้างศึกยุทธหัตถี” สุพรรณบุรี เอฟซี ทีมขาประจำบนลีกสูงสุด ที่กำลังถูกมองว่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งทีม ที่อาจจะเจออาถรรพ์บนลีกสูงสุดเล่นงาน โดยอาถรรพ์ที่ว่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับแต่อย่างใด แต่หมายถึง อาถรรพ์ของทีมที่จบเลกแรกด้วยการเป็นบ๊วยของตารางในครึ่งฤดูกาลแรก ซึ่งสุดท้ายแล้วมักจะตกชั้นทุกทีม

ไล่เรียงมาตั้งแต่ปี

2009 จุฬา ยูไนเต็ด ( 26 แต้ม ) 2010 อาร์มี่ ยูไนเต็ด ( 22 แต้ม ) 2011 ราชนาวี ( 33 แต้ม ) 2012 ทีทีเอ็ม เชียงใหม่ ( 18 แต้ม ) 2013 พัทยา ยูไนเต็ด ( 29 แต้ม ) 2014 สมุทรสงคราม เอฟซี ( 19 แต้ม ) 2015 ทีโอที เอสซี ( 16 แต้ม ) 2016 บีบีซียู เอฟซี ( 13 แต้ม ) 2017 ซุปเปอร์ พาวเวอร์ ( 6 แต้ม ) ปีล่าสุด 2018 แอร์ฟอร์ซ เอฟซี ( 16 แต้ม ) ซึ่งแต้มทั้งหมดเป็นแต้มหลังจากที่จบฤดูกาลแล้ว และหากลองมองหลายๆ ปัจจัย ที่ทำให้ สุพรรณบุรี เอฟซี จมปักอยู่อันดับสุดท้ายของตารางนั้น อาจจะเป็นไปได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นฟอร์มการเล่นของนักเตะ ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของทีม เห็นได้ชัดเลยคือ โจนาธาน เฮส ที่ก่อนหน้าที่เจ้าตัวจะย้ายมาร่วมทีมนั้น เจ้าตัวสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงกับ “พีที ประจวบ” ก่อนที่จะมีเรื่องบาดหมางกับทีมจนต้องเก็บสัมภาระ หอบข้าวหอบของ ออกจากสามอ่าว หนีขึ้นมายังจังหวัดสุพรรณบุรี แบบหมดเยื่อใย หรืออาจจะเป็นไปตามข่าวลือที่ว่า ผู้บริหารนั้น “ลอยแพทีม” ซึ่งไปสร้างความปั่นป่วนให้กับทั้งทีมงานและตัวนักเตะ จนไม่อยากแม้จะลงทำการแข่งขัน ซึ่งหนทางที่จะทำให้ สุพรรณบุรี เอฟซี รอดจากการตกชั้น ก็พอมีอยู่บ้าง ถ้าคำนวณจากทฤษฎี ข้อแรกคือการเก็บแต้มให้ได้มากที่สุด โดยใน 10 ปีหลัง ทีมที่โดนอาถรรพ์จมบ๊วยเลกแรกแล้วตกชั้น และมีแต้มมากที่สุดคือ ราชนาวี ที่มี 33 แต้ม ตอนนี้ สุพรรณบุรีมี 11 แต้ม นั่นหมายความว่า เขาต้องเก็บให้ได้ถึง 22 แต้มจาก 15 นัด ในเลกที่สอง ซึ่งในข้อนี้ถ้ามองจากหลักความเป็นจริง เป็นไปได้ยากมาก เพราะ 15 นัดที่ผ่านมา เขาชนะได้เพียงแค่ 2 ทีม ก็คือแมตช์ที่เปิดบ้าน ชนะ “ชลบุรี เอฟซี” 3-0 และ ชนะ “นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี” 3-1 และจากมุมมองของผมแล้วการที่ สุพรรณบุรี เอฟซี จะออกไปเยือน ชลบุรี เอฟซี ที่ได้ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ มาคุมทีมและเสริมผู้เล่นอย่างคับคั่ง หรือ ทีมที่แข็งแกร่งในบ้านอย่าง “สวาทแคท” เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะคว้าแต้มกลับออกมาได้ ส่วนทีมที่ สุพรรณบุรี พอจะมีภาษีว่าจะสามารถชนะ และคว้า 3 แต้มกลับออกมาได้ คือ เกมที่จะออกไปเยือน “ปตท.ระยอง” หรือเกมเหย้ากับ “ชัยนาท ฮอร์นบิล” และ “สุโขทัย เอฟซี” ส่วน 2 ทีมที่คงต้องลุ้นยากหน่อยในการเก็บแต้ม เพราะเป็นทีมจ่าฝูงอย่าง “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” และ ทีมยักษ์หนีตายอย่าง “SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด” ไม่ว่าจะออกหน้าไหน ผมเชื่อเหลือเกินว่าในปีนี้สาวก “ช้างศึกยุทธหัตถี” สุพรรณบุรี เอฟซี คงต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อย หากต้องการยืนหยัดบนลีกสูงสุดต่อไป และความมุ่งมั่นของนักเตะต้องมีมากขึ้นเป็นเท่าตัว สู้ยิบตาจนกว่าจะสิ้นเสียงนกหวีด มองไปแต่ละเกม และทำให้เต็มที่ในทุกๆเกม แต่ถ้าทำไม่ได้ “อาถรรพ์ 10 ปี จมบ๊วยเลกแรกแล้วตกชั้น” จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 ทันที  

มาร์ค ศุภวิชญ์

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline