logo-heading

กลายเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามองในเรื่องกุนซือคนใหม่ทีมชาติไทย เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าสูญญากาศมาสักระยะหนึ่งแล้ว

ภายหลังจากฝากผีฝากไข้ไว้กับ"โค้ชโต่ย" ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย มาเกือบ 6 เดือน ดูเหมือนองค์กรลูกหนังไทยกำลังได้แม่ทัพคนใหม่ ซึ่งดูทรงเป็นคนเอเชียที่มีประสบการณ์ระดับสูงพอควร อย่างไรก็ดีสิ่งที่โค้ชคนใหม่จะต้องเจอแน่ๆ งานที่โคตรจะสาหัสกับการกู้วิกฤติทีมชาติไทยทั้งการเฟ้นตัวผู้เล่นสายเลือดใหม่และนักเตะโปรแกรมคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 โซนเอเชีย ขอบสนามคัดกรอง 10 ประเด็นที่กุนซือทีมชาติไทย จะต้องเผชิญก่อนที่ทัวร์นาเมนต์ใหญ่กำลังจะมาเยือนในช่วงเดือนกันยายนนี้ 1.ทีมชาติกำลังถ่ายสายเลือดใหม่ ในทุกๆ 4 ปี การคัดเลือกฟุตบอลโลก โซนเอเชีย สำหรับทีมชาติไทย มักจะมีการเปลี่ยนในเรื่องของตัวผู้เล่นอยู่เป็นประจำ ไล่มาตั้งแต่ปี 2002 กลุ่มทีมชาติในยุค เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ฯลฯ มาจนถึงรอบคัดเลือก 2010และ 2014  เป็นกลุ่มดัสกร ทองเหลา, ธีรเทพ วิโนทัย, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว, ณัฐพร พันธ์ฤทธิ์, สุเชาว์ นุชนุ่ม เป็นต้น ส่วนปี 2018 เป็นการผสมผสานกลุ่มของธีรศิลป์ แดงดา,ธีราทร บุญมาทัน ที่ได้ยังบลัดอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, สารัช อยู่เย็น เข้ามา ต้องยอมรับว่าทีมชาติไทย มีนักเตะที่ค่อนข้างลงตัวในช่วง 4-5 ปี หลัง จนทำให้ทีมสามารถต่อยอดประสบความสำเร็จในระดับอาเซียนได้สมัยช่วงรอยต่อปี 2014-2016 แต่เวลานี้ "มุ้ย" ธีรศิลป์ กำลังโรยรากองหน้าเป้าอาชีพบอลไทยในเวลานี้ก็ไม่มีใครไว้วางใจใครได้ ส่วนในรายของ ชนาธิป ที่คลาสลูกหนังไปถึงระดับเอเชียแล้ว หลายๆคนยังคิดฝากความหวัง แต่เมื่อไร้เงาชนาคุง ทีมไม่สามารถยกระดับการเล่นได้และสิ่งที่เกิดขึ้นในคิงส์ คัพ 2019 มันพอจะบ่งบอกได้ว่าแข้งไทยบางคนไม่พร้อมสำหรับการรับใช้ชาติ และนี่จึงเป็นโอกาสที่กุนซือคนใหม่จะได้หาคนที่พร้อมสำหรับช้างศึกในยุคต่อไป 2.ดาวรุ่งที่เราคิดว่าเก่งยังไม่จริง สื่อมวลชนและแฟนบอลบางประเภท ชอบยกยอปอปั้นนักเตะดาวรุ่งที่อยู่ทีมใหญ่ เช่นพวกกลุ่มจากบุรีรัมย์ ศศลักษณ์ ไหประโคน, ศุภชัย ใจเด็ด, สุภโชค สารชาติ หรือแม้แต่แบงค็อก ยูไนเต็ด เช่น วิศรุต อิ่มอุระ, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ คือความหวังใหม่ในวงการฟุตบอล หลังพุ่งขึ้นมาเล่นอย่างสม่ำเสมอกับสโมสร ทว่าเด็กกลุ่มนี้ เมื่อมาเล่นในทีมชาติชุด 23 ปี กลับไม่มีอะไรโดดเด่นเหมือนกับสโมสร ฝากความหวังไม่ได้เลย กลายเป็นนักบอลธรรมดา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กเหล่านี้ มีแข้งนอกที่ค้าแข้งในสโมสรตัวเองเป็นองค์ประกอบ ทำให้เล่นง่ายฉายความมั่นใจออกมาได้ไม่ยาก 3.ผู้บริหารบางทีมใหญ่กว่าสมาคมฯ ช่วงที่มีคิวทีมชาติเตะเรามักเห็นกรณีการถอนตัวของผู้เล่นเป็นประจำ ซึ่งตรงนี้มันบ่งบอกเลยว่าสโมสรบางสโมสรที่เป็นสภากรรมการมักสั่งให้เด็กในทีมตัวเองถอนตัว ในกรณีเมื่อรู้ว่านักเตะในสังกัดตัวเองไปนั่งเป็นสำรอง ไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล เคสของอเล็กซานเดร กาม่า เมื่อตอนทำทีมชุด 23 ปี เจอปัญหาแบบนี้ทุกครั้งเวลาเรียกตัวนักเตะ เรื่องนี้ไม่คงเกิดขึ้น เพราะทีมชาติไทยเป็นสิ่งที่สำคัญสุดทุกส่วนต้องให้ความสำคัญและไม่สมควรเบรกไม่ให้นักเตะไม่ติดทีมชาติไม่ได้ 4.สภาพร่างกายนักกีฬาแต่ละสโมสรไม่เหมือนกัน ไทยลีกพัฒนาจนมีความเป็นมืออาชีพ หลายสโมสรลงทุนจ่ายเงินเพื่อดึงนักกายภาพต่างชาติเข้ามาดูแลนักกีฬา ทว่าคุณภาพและความแตกต่างในเรื่องเงินทุน ที่แตกต่างกันทำให้บางทีมทำร่างกายได้ดี บางทีมทำร่างกายได้ไม่ดี ไม่อยู่ในเกมระดับสูง การเตรียมทีมชาติมีระยะเวลาที่สั้น นักกีฬามีเกมที่หนักมาจากสโมสรเมื่อถึงทีมชาติต้องมีเวลาฟื้นร่างกาย(Recovery) ให้เกิดความสดก่อนเกมทีมชาติ หลายๆเกมที่ผ่านมาเรื่องร่างกายแสดงออกให้เห็นแล้ว ทีมงานด้านวิทยศาสตร์การกีฬา อาจจะต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นและดึงพวกฝีมือดีเข้ามาช่วยยกระดับ เพราะที่มีอยู่ไม่เพียงพอ 5.สมาคมกังวลเรื่องผลงาน ยู23,ชุดใหญ่ เวลานี้เป็นที่แน่นอนละว่าโค้ชทีมชาติไทยชุดใหญ่และ 23 ปี จะไม่ใช่คนเดียวกันแน่นอน เพราะที่ผ่านมา กุนซือจากทีม 2 ชุดนี้มักประสบปัญหาในการเลือกตัวอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่า เมื่อผลงานทีมชาติไม่ดี สมาคมก็จะเกิดความวิตกกังวลทำตัวไม่ถูก จนสุดท้ายมันกลับกลายเป็นเรื่องจับแพะชนแกะ 6.ผู้บริหารสมาคมอ่อนไหวเกินไปกับเสียงวิจารณ์มักรีเซตทีมตลอดเวลา เวลาบอลทีมชาติไทยชนะคำสรรเสริญมาทั่วสารทิศบอลไทยพร้อมแล้วกับคำว่าเอเชีย แต่พอแพ้คำวิจารณ์ในโซเชียลด่ากันราวกับว่านักกีฬาไปฆ่าบิดามารดาซะอย่างนั้น หลายๆครั้งผู้บริหารสมาคมฟุตบอลฯชุดนี้ ก็อ่อนไหวง่ายกับคำวิพากษ์วิจารณ์ทุกครั้ง จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ดราม่าและเราก็มักเห็นองค์กรลูกหนังไทย จัดการประชุมโน่นนี่เยอะแยะเพื่อกลบข่าวแง่ลบหลังจบการแข่งขัน โค้ชบางคนอยู่ไม่ไหวก็ลาออก บางคนก็โดนปลด ฟุตบอลสมัยนี้เปลี่ยนโค้ชบ่อยๆไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันเสียเวลาที่ต้องมานั่งพูดคุยจูนทีมกันใหม่ อย่างลืมว่าทีมชาติไม่ใช่สโมสรความลงตัวมันใช้เวลาได้ไม่นาน 7.บทสัมภาษณ์นายก กลับไปกดดันคนทำงาน จากคำสัมภาษณ์ของนายกสมาคมฟุตบอลไทย หลายๆครั้งๆเหมือนเป็นการกดดัน การทำงานของโค้ชกลายๆ ไล่ตั้งแต่ โค้ช"ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, มิโลวาน ราเยวัช, วรวุธ ศรีมะฆะ รวมถึงตัวโค้ชโต่ยด้วย แน่นอนละว่า กุนซือคนใหม่คงต้องเจอเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่ สิ่งนี้คือเรื่องที่ต้องระวังเพราะทำงานองค์กรเดียวกัน เพราะมันเป็นเหมือนการเปิดแผลให้ฝั่งตรงข้ามรู้ว่าจ้องเล่นงาน เพราะที่ผ่านมามันก็เป็นเสมือนดาบที่ทิ่มแทงกุนซือทีมชาติหลายๆคนมาแล้ว 8.โปรแกรมลีกในประเทศบริหารไม่ดีแม้จะมี 16 ทีม แม้จะคุยว่าจ้างนักวางโปรแกรมโปรไฟล์ดีจากต่างประเทศมาช่วยจัดโปรแกรมไทยลีก แถมมีการลดจำนวนสโมสรลง จาก 18 เหลือ 16 ทีมเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการคือ พยายามทำให้แมตซ์การแข่งขันน้อยลง แต่สิ่งที่เห็นในปี 2019 คือความสะเปะสะปะ ไม่ต้องอะไรมาก คือการจัดโปรแกรมที่ให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้มีเวลาเตรียมทีมในการแข่งขันเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ตลอด 6 เกม ในรอบแบ่งกลุ่ม ได้พักได้หยุด แต่มันกลับกลายเป็นดาบ 2 คม เมื่อทีมปราสาทสายฟ้ากลับไม่สามารถสร้างผลการแข่งขันที่ดีในฟุตบอลสโมสรเอเชียได้อย่างที่หวัง ส่วนโปรแกรมบอลลีกนัดกลางสัปดาห์หรือบอลถ้วยก็ไม่สามารถจัดการได้ ยอดคนดูไม่เป็นไปตามเป้า 9.คณะกรรมการทีมชาติที่ตั้งมาบางคนภาพลักษณ์ไม่ดี คณะกรรมการพัฒนาและบริหารฟุตบอลทีมชาติไทยที่ถูกตั้งขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาศักยภาพทางด้านการแข่งขันของนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยทุกรุ่นอายุ ตามแผนแม่บท 20 ปีดูเหมือนสวยหรู แต่เมื่อดูจากรายชื่อมีคณะกรรมการบางคนที่ไม่มีความรู้เรื่องฟุตบอล และไม่ได้มีประสบการณ์ลงเล่นในสนามจริง แถมยังเตะบอลไม่เป็น นอกจากนี้ยังมีคนที่ภาพลักษณ์ออกแนวอันธพาล จนกลายเป็นข่าวใหญ่ทำร้ายวงการฟุตบอลไปเมื่อ 2 ปีก่อน รวมอยู่ด้วย แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพที่ขาวสะอาด ถ้าเกิดมีนักบอลทีมชาติโดนใบแดงขึ้นมาในแมตซ์นานานาชาติคงมีประเด็นดราม่าให้ขุดคุ้ยอีกแน่ จนบางทีบานปลายกระทบมายังสมาคมฯ ก็เป็นได้ 10.ฟีฟ่าเดย์ไม่มีทดสอบทีม โค้ชคนใหม่จะถูกตั้งขึ้นมาก่อนหน้าที่รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 โซนเอเชีย จะเปิดฉากขึ้นแค่ 2 เดือน แต่สิ่งที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กันคือเรื่องการที่กุนซือรายนี้จะไม่มีเวลาได้ทดสอบทีมจริงจัง เนื่องจากโปรแกรมอุนเครื่องฟีฟ่าเดย์  ทีมชาติไทย ไม่มีอีกแล้วและต้องเจอโปรแกรมในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน ไอ้ครั้นจะไปหาทีมมาอุ่นเครื่อง พวกทีมยักษ์ใหญ่เอเชียก็ล็อคคิวล่วงหน้าเอาไว้เป็นปีๆแล้ว เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เกมไทยลีกนัดสุดท้ายก่อนเกมทีมชาติ คือเกมนัดที่ 26 วันที่ 24-25 ส.ค.62 รอดูว่าจะมีเกมบอลถ้วยมาต่อหรือไม่ถ้าไม่มีก็ถือว่าโชคดีมากๆเพราะทีมจะได้เดินหน้าใส่เกียร์ซ้อมเต็มที่

เอ็มเร่

[email protected]

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline