logo-heading

วันพรุ่งนี้แล้ว (25 มี.ค.) ที่ทัพช้างศึก จะต้องออกรบกันอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 46 โดยปีนี้คู่ต่อกรคือสโลวาเกีย ทีมจากยุโรปตอนกลาง ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงทีมอันดับที่ 29 ของโลกในปัจจุบัน ขณะที่ไทยเราอยู่ที่ 129 ของโลก ห่างกัน 100 อันดับพอดี ซึ่งถ้าดูที่อันดับก็ต้องบอกว่าเป็นงานที่สุดหินของทีมชาติไทยเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ดีนัดชิงชนะเลิศคิงส์ คัพ ครั้งนี้ น่าจะเป็นคู่แข่งที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลคิงส์ คัพ แล้ว เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีทีมดังจากยุโรปมามากมายไม่ว่าจะเป็น สวีเดน,เดนมาร์ก,ลัตเวีย หรือชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นทีมชุดเล็ก หรือขนมาเฉพาะนักเตะในประเทศ แต่ในคิงส์ คัพ หนนี้ สโลวาเกีย นั้นขนชุดใหญ่มาเต็มอัตราศึก จะขาดก็แต่เพียง มาเร็ค ฮัมซิค คนเดียวเท่านั้น ทำให้คู่ชิงคิงส์ คัพ หนนี้จึงน่าดูชมเป็นอย่างยิ่ง และจะเป็นการวัดศักยภาพที่ดีของทีมชาติไทย เมื่อต้องเจอกับทีมระดับโลกแบบนี้จะทำได้ดีแค่ไหน แต่ว่ากันตามตรงดูแล้วคงสู้ยาก เพราะทีมเยือนเองเป็นถึงทีมอันดับที่ 29 ของโลก เขาย่อมไม่ยอมแพ้ทีมอันดับต่ำกว่าถึงร้อยอันดับแน่นอน มันขายหน้า และมีผลต่อฟีฟ่าแรงกิ้งของเขาด้วย ดังนั้นจึงเป็นงานลำบากของทีมชาติไทย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสซะทีเดียว อย่าลืมว่าเราเป็นแชมป์เก่า และฟุตบอลรายการนี้แข่งที่บ้านเรา อย่างน้อยเราก็ได้เปรียบอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของสภาพอากาศ แต่นอกเหนือจากความได้เปรียบในเรื่องของเสียงเชียร์และอากาศร้อนตับแตกของบ้านเราแล้ว ยุทธวิธีหรือแผนการเล่นในสนามก็สำคัญ เราก็ต้องเตรียมตัวไปสู้อย่างดีที่สุดเหมือนกัน ต่อไปนี้คือ 5 สิ่งที่ทีมชาติไทยจะต้องทำให้ได้ ถ้าคิดจะล้มสโลวัคและรักษาถ้วยแชมป์คิงส์ คัพ ให้ได้อีกสมัย ซึ่ง 5 ข้อที่ว่าจริงๆ เยอะไปด้วยซ้ำ ถ้าตามทฤษฎีของ โชเซ่ มูรินโญ่ แล้ว ไทยทำให้ได้แค่ 2 ข้อก็ชนะแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ 1.ยิงคู่แข่งให้ได้มากกว่าที่คู่แข่งยิงเรา 1 ลูกขึ้นไป และ 2.อย่าเสียประตู รับรองชนะแน่นอน ถุยยยยย! ไม่ใช่ ตอบแบบนี้โดนด่าแน่นอน เอาละมาว่ากันที่ 5 ข้อ กันดีกว่า มีอะไรบ้าง 1.เล่นบอลเร็วเท้าสู่เท้า คำนี้คุ้นๆ จริงๆ ก็เป็นหลักทั่วไปนั่นแหละ เล่นบอลมันก็ต้องเท้าสู่เท้าอยู่แล้ว จะไปเท้าสู่มือคงไม่ได้ แต่ประเด็นก็คือเราต้องพยายามลดการเล่นบอลโด่ง เปิดบอลยาว หรือจ่ายลูกยากลูกไกลๆ แบบนี้ ลำบาก เพราะผู้เล่นสโลวาเกียไปดูได้ทุกคนมีขาที่ยาวกว่าไทย ตัวก็สูงกว่า เล่นบอลโด่งบอลยาวไป โดนตัดหมดแน่ เพราะฉะนั้น ต้องเน้นบอลเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว จ่ายเร็วและแม่นยำ ถ้าทำได้ก็มีโอกาสเจาะแนวรับสโลวัคได้เหมือนกัน 2.เซ็ตพีซต้องมีทีเด็ด เรื่องการทำประตู ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าถ้าเจาะแบบโอเพ่นเพลย์เข้าไปยิงง่ายๆ ก็คงลำบาก เพราะเกมรับของสโลวาเกียก็ไม่ใช่จะเจาะเข้าไปง่ายๆ แถมมี มาร์ติน สเคอร์เทล อดีตยอดปราการหลังของยอดทีมคุมแนวรับอยู่แล้วด้วยลำบากเป็นสองเท่า ดังนั้นการที่จะได้ลุ้นประตูจากคู่แข่งคงจะต้องเน้นเรื่องของลูกนิ่งต่างๆ เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเตะมุม ที่ต้องมีสูตรเด็ดมากกว่าเปิดโด่งเข้าไปแล้วให้ลุ้นโหม่ง เพราะเราเป็นรองเรื่องส่วนสูง เตะมุมต้องมีอะไรมากกว่านั้น จะเล่นสั้น หลอกยิงเร็ว ยิงไกลหรืออย่างไรก็ว่ากัน ลูกฟรีคิกก็สำคัญ พยายามบุกไปป้วนเปี้ยนหน้ากรอบโทษและเรียกฟรีคิกให้ได้ โดยเฉพาะระยะอันตราย 20-30 หลา เราพอมีตัวยิงดีๆ อยู่ สมมติได้ฟรีคิกสัก 10 ลูก มันต้องเข้ามั่งสักประตูแหละ เอาเป็นว่าซ้อมยิงฟรีคิกมาให้ดีแล้วกัน 3.เกมรับต้องแน่น เกมรับก็สำคัญ ถ้าใครได้ดูเกมแรกที่สโลวาเกีย เล่นกับ ยูเออี ต้องบอกว่าเกมรุกของพวกเขาอันตรายมาก มีการเข้าทำที่รวดเร็ว ทั้งการเข้าทำกับพื้น และลูกกลางกาศ ดังนั้นจึงเป็นงานหนักของแนวรับทีมชาติไทย รวมทั้ง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่จะต้องพยายามทำทุกอย่างไม่ให้ทีมเสียประตู ถ้าเขาเจาะเราไม่ได้ ก็ยังได้ลุ้นในการยิงจุดโทษ แต่ถ้าโดนเมื่อไหร่ก็คงลำบากและกลับมายาก 4.สวนกลับเฉียบคม แน่นอนว่าเกมนี้ ราเยวัช คงจะเน้นให้ลูกทีมเล่นเกมรับแบบรัดกุมไว้ก่อน คือไม่ได้ก็ต้องไม่เสีย ถ้าจะไปเปิดเกมแรกกับคู่ต่อสู้ก็มีแต่ตายหยังเขียดแน่นอน แต่ถ้าจะรับอย่างเดียวก็คงไม่ใช่ มันก็ต้องมีตอบโต้บ้าง ดังนั้นเกมสวนกลับสำคัญ เมื่อมีโอกาสต้องทำให้เร็ว อย่าเล่นหลายจังหวะ ได้โอกาสโต้เมื่อไหร่ต้องจบด้วยการยิงประตูทุกครั้ง 5.ซ้อมจุดโทษมาให้ปึ๊ก และข้อสุดท้ายก็คือการซ้อมยิงจุดโทษ คือบอกเลยนี่เป็นฏอกาสที่เราจะล้มสโลวัคได้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าทีมชาติไทยไม่มีโอกาสชนะคู่แข่งใน 90 นาที แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงว่ามันยาก ถึงยากมาก ดังนั้นการยื้อไปให้ถึงจุดโทษก็มีโอกาสทำให้เราเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน แต่ถึงเวลานั้นมันก็ 50-50 เพียงแต่ว่าเราต้องเตรียมตัวไปให้ดี เอาตัวชัวร์ที่สุดในการดวลจุดโทษ และก็ต้องฝากความหวังไว้ที่ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ด้วยว่าจะโชว์ฟอร์มเทพ เหมือนเกมที่แล้ว ถ้าทำได้ถ้วยคิงส์ คัพ ก็จะอยู่กับทีมชาติไทยอีกสมัย ทั้งหมดที่กล่าวว่าก็เป็นการวิเคาระห์ไปตามภาษาและเนื้อผ้าถึงความน่าจะเป็นละครับ ผมเองก็ไม่ใช่โค้ชมาจากไหน เราก็ว่ากันไปก่อนเกมที่จะเกิดขึ้น อย่างไรเสียผมก็เป็นคนไทยและก็ต้องเชียร์ทีมชาติไทยของเราแน่นอน หวังว่าพรุ่งนี้แฟนบอลไทยทั่วประเทศจะมีความสุข ไชโย!!

ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline