แฟนบอลไทยยังคงลุ้นอย่างใจจดใจจ่อรอว่าเมื่อไรหนอที่ "อากิระ นิชิโนะ" โค้ชโปรไฟล์หรูอดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่นจะจรดปากกาเซ็นสัญญาคุมทีมชาติไทย...เสียที
อดีตแม่ทัพ “ซามูไรบูลส์” เดินทางกลับไปบ้านเกิดเกือบจะครบ 1 สัปดาห์แล้ว ตามข่าวคือไปเคลียร์งานต่างๆที่ค้างคากับ สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น หรือ “เจเอฟเอ” ให้เสร็จสิ้น หลังจากนั้น “นิชิโนะ” ถึงจะกลับมาเซ็นสัญญาคุมทัพ “ช้างศึก” อย่างเป็นทางการ แต่ถึงตรงนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆที่ชัดเจนว่าเรื่องจะจบเมื่อไร สิ่งที่ยืนยันได้แน่ๆคือ “ยังไม่มีการเซ็นสัญญา” แต่ที่ผ่านมา “นิชิโนะ” แค่รับปากว่า “โอเค” เท่านั้น ดังนั้นจึงต้องถือว่าทีมชาติไทยยังไม่มีกุนซือคนใหม่ !!! ล่าสุด “สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” ยืนยันว่าจะไม่มีการออกข่าวอะไรอีก ทุกอย่างว่ากันอีกทีหลังเรื่องจบแบบสมบูรณ์แล้ว นี่คือข้อตกลงของ สมาคมฯ กับ “นิชิโนะ” ที่จะไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ในช่วงนี้ แต่ทีเคยเป็นข่าวไปคือสิ่งที่คุยกันแล้วว่าสามารถออกข่าวได้เพียงคำตอบเบื้องต้นว่า “ตกลง” ตอนนี้แฟนบอลไทยคงทำได้แค่เพียงแต่รอเท่านั้น ส่วนสมาคมฯควรต้องคิดแผนสองรอด้วยว่าหาก “นิชิโนะ” ไม่มาแล้วทีมชาติไทยจะเอาไงต่อ ? ไม่มีการยืนยันว่าสมาคมฯมีแผนสองอะไร แต่เท่าที่รู้คงมีตัวเลือกที่เป็น “โค้ชต่างชาติ” ในโผอยู่บ้างเพราะโค้ชไทยคงยากที่จะมีใครมารับงาน ชื่อกุนซือไทยหลายคนถูกโยงมาเกี่ยว แต่โอกาสเป็นไปได้ยาก ไม่ว่าจะเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่หลายคนถามถึง แต่ความจริงคือร่วมงานกับสมาคมฯยุคนี้ไม่ได้แน่นอน “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน คืออีกคนที่เป็นข่าวซุบซิบดังหนาหูมาตลอดว่าอยู่ในโผ ว่ากันว่าถึงขั้นสมาคมฯ ยกหูโทรศัพท์ตามตัวจนเจอและพูดคุยเจรจาเรียบร้อยแล้ว แต่ข้อมูลจากคนใกล้ตัว “โค้ชแบน” ระบุว่าไม่น่ารับงาน นอกจากบุคลิกส่วนตัวที่ไม่ค่อยอยากหวือหวาแล้ว ยังเป็นกังวลต่อกระแสที่จะตามมาด้วย ดังนั้นจึงกล้าฟันธงเลยว่ากุนซือทีมชาติไทยคนใหม่ยังไงต้องเป็นต่างชาติชัวร์ๆ และหวังว่าจะเป็น “นิชิโนะ” ดั่งที่หลายคนเฝ้ารอ แต่ไม่ว่าใครมาเป็นกุนซือทีมชาติไทยคนใหม่แฟนบอลไทยต้องลุ้นระทึกอยู่ดี เพราะ “ฟุตบอลโลก 2022” มีคิวเตะรอบคัดเลือกในอีกไม่ถึง 2 เดือนข้างหน้าแล้ว ระยะเวลาเตรียมทีมที่เหลือน้อยในขณะที่ทีมชาติไทยยังอยู่ในสภาวะ “สูญญากาศ” แบบนี้ ถ้ายังสบายใจกันได้อยู่ต้องถือว่าไม่ธรรมดา !!! จริงๆ แล้วกระบวนการต่างๆ ควรถูกวางแผนงานล่วงหน้าให้เป็นระบบอย่างดี ไม่ใช่มาเร่งเอาตอนใกล้ถึงหน้างานแบบนี้ ตรงนี้สมาคมฯถือว่าผิดพลาดเต็มๆ ฟุตบอลไม่ว่ายุคสมัยไหนไม่ได้สู้กันแค่ในสนาม แต่ต่อสู้กันตั้งแต่เตรียมทีมนอกสนาม ดังนั้นผลงานไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวังควรทั้งรับผิดและรับชอบกันทั้งระบบ เวลาฟุตบอลแพ้อย่าไปโทษที่โค้ชคนเดียวแล้วอ้างว่าเป็น “วิถีฟุตบอล” แต่ต้องดูที่ต้นสายปลายเหตุด้วย ปัจจัยอาจไม่ได้อยู่ที่ผู้ฝึกสอนคนเดียว บางทีก็รู้สึกเห็นใจโค้ช ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย โดยเฉพาะในระดับ “สโมสร” ที่ไม่รู้อนาคตว่าจะตกงานวันไหน ยิ่ง “ไทยลีก” ที่มีค่านิยมปลดโค้ชเป็นว่าเล่นยิ่งเสี่ยงสุดๆ สถานการณ์ของ “ไทยลีก 2019” ล่าสุดผ่านไป 17 นัดมีการเปลี่ยนแปลงโค้ชไปแล้วถึง 8 ครั้งนับตั้งแต่เริ่มเตรียมทีมก่อนเปิดฤดูกาล ครั้งที่ 9 หวยจะออกทีมไหนยังคาดเดาลำบาก แต่ละสโมสรองค์ประกอบแตกต่างกัน ของแบบนี้เรียกว่า “ต่างกรรม ต่างวาระ” คนที่เป็นประเด็นว่า “หนังเหนียว” ที่สุดคือ อเล็กซานโดร มาโน โพลกิง ของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่สวมบทเป็น “พระรอง” มาหลายฤดูกาลในหลายถ้วย “แข้งเทพ” ถือเป็นทีมเงินหนา ค่าตัวนักเตะไม่ได้เป็นรองสโมสรไหน แต่จนแล้วจนรอดยังไม่เคยได้แชมป์สักที ทว่า “มาโน” ยังเก้าอี้แข็งแรงในทุกๆปี ขณะที่ “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภ เป็นกุนซือที่กำลังกลายเป็นกระแสอีกครั้งในช่วงนี้หลัง การท่าเรือ ฟอร์มสะดุดไม่ชนะมา 4 เกมแล้ว แถมยังเป็นการแพ้ไปถึง 3 เกมจนตกไปอยู่อันดับ 5 “สิงห์เจ้าท่า” ถือเป็นอีกทีมที่เงินหนา แต่การซื้อตัว เสริมผู้เล่น เป็นสิ่งที่แฟนบอลคาใจ ใครหลายคนสงสัยไปถึงขั้นที่ว่า “เซอร์เด็จ” เลือกเองจริงหรือ ? ทั้ง “มาโน” และ “เซอร์เด็จ” คือสองกุนซือที่เป็นกระแสในไทยลีกมากที่สุดตอนนี้ ส่วนคนอื่นๆแตกต่างกันไปตามสภาพทีมและผลการแข่งขัน อเล็กซานเดร กามา ปลุกชีพ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ชนะ 3 นัดติดได้รับคำชมไป ส่วน “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ปลุกกระแส ชลบุรี ได้ก็จริงแต่ยังไม่ต่อเนื่อง ต้องลุ้นต่อไปอนาคตของโค้ชแต่ละคนจะเป็นอย่างไรคงต้องอยู่ที่เป้าหมายและนโยบายของแต่ละสโมสร คำว่า “วิถีฟุตบอล” สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในเมืองไทย ไม่ว่าจะระดับสโมสรหรือทีมชาติ
“บับเบิ้ล”