3 เหตุผล ที่อาจนำพา คล็อปป์ สู่โค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี
หลังจากที่ ฟีฟ่า ได้ประกาศ 10 รายชื่อกุนซือ เข้าชิงชัยรางวัล “เดอะ เบสต์” สาขาโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ก็มีการคาดการณ์ว่าใครที่จะคู่ควรได้โทรฟี่ส่วนตัวไปครอง
แน่นอนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในตัวเต็ง ควบคู่ไปกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้พา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์
แต่กระนั้น คล็อปป์ ก็มีโมเมนท์ที่มีโอกาสคว้ารางวัล ฟีฟ่า เดอะ เบสต์ เช่นกัน ดัฝ 3 เหตุผล ต่อไปนี้
- พา หงส์แดง เป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
การจะส่งชื่อตัวเองเข้าประกวด มันจะต้องมีโปรไฟล์ที่น่าสนใจ หรือ มีแชมป์อะไรติดมือมาด้วย แน่นอนว่าการที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถพา "หงส์แดง" เป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 6 เรียกว่าเข้าตากรรมการเต็มๆ ด้วยการเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คู่แข่งร่วมลีก 2-0
ต้องบอกว่าเส้นทางของ ลิเวอร์พูล ในการคว้าแชมป์ ยูซีแอล ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เพราะรอบแบ่งกลุ่มก็ต้องเจอทั้ง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับ นาโปลี ส่วนรอบน็อคเอาท์ ก็มีขวากหนาวทั้ง เอฟซี ปอร์โต้, บาเยิร์น มิวนิค และ บาร์เซโลน่า ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของลีกตัวเองทั้งนั้น
ด้วยโปรไฟล์ขนาดนี้ ก็ไม่แปลกหรอกครับ สำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่จะเข้ามาเป็นตัวเต็งลุ้นรางวัล ฟีฟ่า เดอะ เบสต์ สาขา โค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี ในฐานะผู้พา "หงส์แดง" เป็นแชมป์ยุโรป นับตั้งแต่ปี 2005
- เฉียดเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ไม่มีใครจำจดในฐานะผู้รองแชมป์หรอกครับ จริงไหม ? เพราะเขาจะจดจำในฐานะแชมป์เท่านั้น แต่ทว่ากับผลงาน ลิเวอร์พูล ฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเราจะไม่พูดถึงกันหน่อยหรอ ว่าพวกเขาเป็นรองแชมป์ ที่ทำผลงานได้อย่างสุดติ่งกระดิ่งแมว โดยเฉพาะการเสียประตูในลีกน้อยสุด, เก็บคลีนชีตมากที่สุด ซึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องได้รับเครดิตตรงนี้ไปเต็มๆ เพราะนี่คือทีมที่เขาสร้างมาตลอด 4 ปีเต็ม
คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล เก็บแต้มแล้วแต้มเล่า อาจจะมีช่วงสะดุดอยู่บ้าง ช่วงราวๆต้นปีใหม่ แต่กระนั้นก็นำ "หงส์แดง" โกยแต้มมากสุดในประวัติศาสตร์สโมสรมากถึง 97 คะแนน น่าเสียดายที่พวกเขา ต้องแพ้ให้กับทีมที่ดีกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นตลอดทั้งซีซั่น มันทำให้ คล็อปป์ ได้รับเครดิตตรงนี้เต็มๆ
- โมเมนท์เกมแห่งซีซั่น
นอกจากการเป็นแชมป์แล้ว หรือ การเฉียดซิวโทรฟี่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มันต้องมีโมเมนท์ที่เป็นเกมแห่งซีซั่น ซึ่งเป็นแมตช์ที่ทุกคนดูแล้ว ต้องอุทานว่า "เชร็ดเข้" แม่งทำได้ไงวะ หรือ เป็นแมตช์ที่แบบเป็นพวกปาฏิหาริย์ คัมแบ็กแบบโกงความตาย อะไรทำนองนี้
เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว นึกกันออกแล้วใช่ไหม ? ใช่ครับ ต้องเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล แม่งโกงความตาย ด้วยการพลิกนรกกลับมาฆ่า บาร์เซโลน่า ให้ตายแดดิ้นคาสนามแอนฟิลด์
ย้อนกลับไปเกมที่ บาร์เซโลน่า ไล่ทุบ ลิเวอร์พูล เละเป็นโจ๊ก 3-0 บวกกับความสุดยอดของ ลิโอเนล เมสซี่ โดยเฉพาะการปั่นฟรีคิกเสียบสามเหลี่ยมอันลือลั่น ด้วยสกอร์ที่ บาร์ซ่า ยำใหญ่ใส่ไข่ดาว จะมีใครคิดไหมครับว่า "หงส์แดง" จะกลับมาได้ โดยเฉพาะ เวอร์ชั่นที่ต้องไร้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งเจออาการบาดเจ็บเล่นงาน
อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ไม่เคยหมดศรัทธาในลูกทีม เขาเชื่อมั่นทุกคน ด้วยคำพูดที่ปลุกเร้าว่า "ต่อให้เราจะทำประตูช่วง 5-10 นาทีแรก ไม่ได้ ผมมั่นใจว่าพวกเราต้องทำได้ในตอนนาที 60" พูดแบบนี้ นักเตะก็วิ่งแบบถวายหัว และ ปาฏิหาริย์ ก็เกิดขึ้น เพราะ ลิเวอร์พูล เดินหน้าไล่ยำ บาร์ซ่า 4-0 .. อย่างเช่นลูกที่ เทรนท์ อาร์โนลด์ ลักไก่เล่นเตะมุมเร็วให้กับ ดิว็อค โอริกี้ ซัดเข้าไป
โมเมนท์แบบนี้แหละครับ ที่ คล็อปป์ จะได้คะแนนแบบท่วมท้น เพราะนอกจากจะสร้างปาฏิหาริย์ดับ บาร์เซโลน่า แล้วนั้น มันยังต่อยอดไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกด้วย ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม