วันที่รอคอยของแฟนฟุตบอลไทยที่อยากเห็นนักเตะทีมชาติไทยถอนแค้นทีม “เวียดนาม” ใกล้เข้ามาแล้ว วันพฤหัสบดีที่ 5 ก.ย.นี้ถึงเวลา....ชำระแค้น !!!
นี่คือเกมสำคัญระดับ 5 ดาว ไม่ใช่แค่เพราะเป็น
“ฟุตบอลโลก 2020” รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มจี นัดแรก เท่านั้น แต่มันคือเกมแห่งศักดิ์ศรีของทั้ง 2 ชาติ
ทั้งไทยและเวียดนามต่อสู้กันในสมรภูมิลูกหนังอาเซียนมาช้านาน แต่ช่วงหลังๆทีม “ดาวทอง” ผงาดขึ้นมาซ่าเกินหน้าเกินตา “ช้างศึก” ที่เคยได้ชื่อว่าเป็น
“ราชันอาเซียน”
สถิติที่เจอกันรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมานักเตะจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นรองทัพนักเตะของ
“ลุงโฮ” อย่างชัดเจนทุกชุด ไม่เว้นแม้กระทั่งฟุตบอลหญิงที่เพิ่งโดนยึดแชมป์อาเซียนคาบ้าน
ถ้านับเฉพาะทีมชุดใหญ่ชั่วโมงนี้ทีม “ดาวทอง” คือ
“เบอร์ 1 อาเซียน” รั้งอันดับ 97 โลก สร้างผลงานทั้ง
“แชมป์ซูซูกิคัพ 2018” และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย
“เอเชียนคัพ 2019” ที่ยูเออี
ขณะที่ “ช้างศึก” อยู่อันดับ 115 ของโลกเป็นเบอร์ 2 อาเซียน ตกรอบรองชนะเลิศ “ซูซูกิคัพ 2018” และไปไกลสุดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายใน “เอเชียนคัพ 2019”
การเจอกันล่าสุดเป็นไทยที่แพ้เวียดนามคาบ้าน 0-1 ในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน
“คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47 ที่บุรีรัมย์
ดังนั้นเกมที่กำลังจะเกิดขึ้นอีก 3 วันหลังจากนี้จึงเป็นอะไรที่มีความหมายมากๆ หาก
“ถอนแค้น” ได้ คำว่า
“วิกฤตศรัทธา” ของแฟนฟุตบอลไทยคงคลี่คลาย
แต่ถ้าโดน
“ย้ำแค้น” เห็นทีวงการฟุตบอลไทยจะเข้าขั้น
“โคม่า !!!”
ทุกอย่างรอวัดกันที่เกม 90 นาทีในสนามเท่านั้น ส่วนใครจะคาดเดาผลการแข่งขันอย่างไรเป็นเรื่องของมุมมองแต่ละคน
ส่วนตัวแล้วเชื่อมั่นว่านักเตะทีมชาติไทยมีดีพอที่จะถอนแค้นเวียดนามได้ เพราะนี่คือคู่ต่อกรที่อยู่ในระดับอาเซียนด้วยกัน ไม่ใช่ไปเจอทีมหัวแถวของเอเชียเสียที่ไหน
ดังนั้นทัพ “ช้างศึก” ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องไปเกรงกลัวพลพรรค “ดาวทอง” หากเจอทีมเพื่อนบ้านแถวนี้ยังกลัวคงไม่ต้องหวังไปไหนไกลแล้ว
น่าสนใจด้วยว่านี่คือจุดเริ่มต้นของทีมชาติไทยยุคใหม่ภายใต้การคุมทีมของ
อากีระ นิชิโนะ กุนซือชาวเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลทีมชาติไทย
การมาเดี่ยวแบบไม่มีทีมงานของ “นิโชนะ” อาจทำให้ความมั่นใจ มีไม่มากอย่างที่หวัง แต่หลังเริ่มทำงานแบบจริงจังดูเหมือนหลายๆอย่างทำให้ความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
ประเด็นการเลือกตัวผู้เล่นเป็นสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่เชื่อเถอะว่า “นิชิโนะ” ที่ทำฟุตบอลมาค่อนชีวิตรู้ว่าต้องการอะไรและทำอะไรอยู่
โค้ชโปรไฟล์หรูระดับผ่านฟุตบอลโลกมาแล้วและไม่ใช่กุนซือตกงานอย่าง “นิชิโนะ” คงไม่ยอมเอาชื่อมาทิ้งที่เมืองไทยง่ายๆ และไม่ยอมให้ใครมาแทรกแซงการทำงานแน่นอน
สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ต้องควักกระเป๋าจัดหนักจ่ายแพงกว่าจะได้ “นิชิโนะ” มาทำงาน ดังนั้นต้องเคารพในการตัดสินใจและเชื่อมั่นในตัวเขา ผลงานจะเป็นคำตอบของทุกสิ่ง
ไม่มีใครรู้ว่า “นิชิโนะ” ที่เพิ่งเข้ามาทำทีมไม่นานจะเปลี่ยนแปลงอะไรทีมชาติไทยบ้าง เกมที่พบกับเวียดนามจึงเป็นสิ่งที่แฟนบอลหลายคนรอชมอย่างยิ่ง
ขณะที่นักเตะทีมชาติไทยแม้โฉมหน้าจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก แต่ถือว่า
“ฟูลทีม” กว่าครั้งที่เจอกับเวียดนามในเกมล่าสุด
บรรดา
“คีย์แมน” ที่เล่นอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะ 3 นักเตะจาก
“เจลีก” ทั้ง
ชนาธิป สรงกระสินธิ์, ธีราทร บุญมาทัน และ
ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กำลังอยู่ในช่วงคึกสุดขีดด้วย
ส่วนดาวรุ่งที่ฟอร์มสดใน “ไทยลีก” อย่าง
เอกนิษฐ์ ปัญญา, สุภโชค สารชาติ, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ต่างรอวันฉายแสงในระดับทีมชาติไทย
รวมถึงนักเตะที่ประสบการณ์สูงอาทิ
ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน, พรรษา เหมวิบูลย์, ทริสตอง โด, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, สารัช อยู่เย็น ล้วนพร้อมประจัญบานกันทุกคน
ถึงตรงนี้จึงได้เวลาลั่นกลองรบเพื่อเผด็จศึกเวียดนามแล้ว แน่นอนว่าทีม “ดาวทอง” ต้องคาดหวังชนะไทยในเกมนี้เหมือนกันเพื่อลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบต่อไป
ดังนั้นนักเตะไทยจึงจำเป็นต้อง
“ดับซ่า” ทีมที่กำลังห้าวอย่างเวียดนามในเกมนี้ให้ได้ นอกจากเพื่อถอนแค้นที่แพ้มาล่าสุดแล้วยังเป็นการกดหัวเอาไว้ด้วยว่า...แชมป์อาเซียนแล้วไง ?
ที่สำคัญยังเป็นการเริ่มต้นการลุ้นบนเส้นทาง “ฟุตบอลโลก 2020” ของ “ช้างศึก” ที่คาดหวังว่าจะผ่านเข้าไปถึงรอบคัดเลือก รอบ 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย เหมือนครั้งที่แล้วด้วย
ตรงนี้ละคือการคิดบัญชีแค้นแบบทบต้นทบดอก ทั้งลบรอยแค้นกับเวียดนามที่ผ่านมา และสร้างผลงานของทีมชาติไทยในอนาคตข้างหน้าให้กลับมาดีกว่าชาติใดๆในอาเซียน
ไทยไม่เชียร์ไทยแล้วใครจะเชียร์เรา....สู้ขาดใจไทยแลนด์
“บับเบิ้ล”