ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยเตรียมลั่นกลองรบลงเตะ “ฟุตบอลโลก 2022” รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มจี นัดที่ 2 กับ อินโดนีเซีย ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ เวลา 19.30 น.ที่กรุงจาการ์ตา
นี่คือเกมที่มีความหมายของ “ช้างศึก” ไม่น้อย หลังนัดเปิดตัวทำได้เพียงเสมอ
เวียดนาม 0-0 ที่สนามม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ส่งผลให้การลุ้นเข้ารอบอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าเดิม
1 แต้มจากเกมแรกในบ้านถือว่า
“ขาดทุน” ดังนั้นการไปเยือนพลพรรค “การูดา” คงขอแค่เสมอกลับมาไม่พอ หากอยากลุ้นเข้ารอบต้องหวังฟัน
“กำไร” ที่ 3 คะแนน
แต่นี่คือภารกิจที่สุดหิน การบุกถิ่น “อิเหนา” ไม่เคยเป็นงานง่ายของนักเตะไทยเลย โดยเฉพาะการเล่นที่
“เสนายัน” หรือ
“สนามเกโลรา บุง การ์โน” ที่เรียกขานในปัจจุบัน
“นรกเสนายัน” คือคำบรรยายถึงความน่าสะพรึงกลัวของสนามแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี !!!
ล่าสุดใน “ฟุตบอลโลก 2022” นัดแรกที่ อินโดนีเซีย เปิดบ้านพ่าย
มาเลเซีย 2-3 ได้มีเหตุวุ่นวายขึ้นอีก เมื่อแฟนบอล “เจ้าบ้าน” บางส่วนก่อเหตุปะทะกองเชียร์ทีมเยือน
แฟนบอล “เสือเหลือง” บางรายถูกทำร้ายบาดเจ็บถึงขั้นเลือดอาบถูกหามขึ้นเปล ขณะที่นักฟุตบอลต้องขึ้นรถหุ้มเกราะออกจากสนามเลยทีเดียว
นี่คือกรณีล่าสุดที่ตอกย้ำความโหดของสนามแห่งนี้ หลังคนไทยเคยเห็นภาพเผาสนาม แฟนบอลปาหินใส่นักเตะมาตั้งแต่สมัยแย่งเหรียญทองฟุตบอล
“ซีเกมส์” เมื่อวันวาน
อย่างไรก็ดีเกมระหว่าง อินโดนีเซีย กับ มาเลเซีย สามารถกลับมาแข่งขันต่อจนจบได้ ดังนั้นบทลงโทษที่ลุ้นกันว่าแฟนบอลเจ้าถิ่นอาจถูกห้ามเข้าเชียร์เกมเจอกับไทยคงเป็นไปได้ยาก
ถึงตรงนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆเกี่ยวกับบทลงโทษ ดังนั้นเกมที่ “การูดา” กำลังจะเจอ “ช้างศึก” วันอังคารนี้คงต้องมีแฟนบอล “เจ้าบ้าน” เฉียดๆ 8 หมื่นคนในสนามเหมือนเดิม
ไม่แปลกที่หลายคนต้องเป็นห่วงนักเตะทีมชาติไทยและเป็นกังวลใจกับผลงานของทัพ “ช้างศึก” แต่เชื่อเถอะว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะไม่ยอมให้เกิดเหตุวุ่นวายซ้ำสองในรอบสัปดาห์แน่
ขณะที่
สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจเช่นกัน ทำหนังสือขอให้
สมาคมฟุตบอลอินโดนีเซีย มีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้นักเตะและแฟนบอลไทยเต็มที่
รวมถึง
สถานเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงจาการ์ตา ได้เตรียมแผนไว้แล้ว ทั้งทำเรื่องถึง รัฐมนตรีกระทรวงกีฬาอินโดนีเซีย ให้ดูแลคนไทยอย่าให้เกิดเหตุเหมือนนัดเจอ มาเลเซีย
นอกจากนั้นยังมีแผนสำรองเตรียมรถบัสไว้หากเกิดกรณีฉุกเฉินจะรวบรวมคนไทยเดินทางออกจากบริเวณสนามแข่งขันทันที
ทุกๆ ฝ่ายพยายายามร่วมด้วยช่วยกันเตรียมการเต็มที่ ทำเท่าที่จะทำได้ในเรื่องนอกสนาม ส่วนเรื่องในสนามเป็นหน้าที่ของนักเตะทีมชาติไทยที่ต้องทำผลงานให้ดีที่สุด
เท่าที่มีข่าวเปิดใจนักเตะออกมาจากแคมป์ทีมชาติไทย หลายคนยังมีสมาธิกับเกมดี ไม่มีใครเป็นกังวลเรื่องแฟนบอลหรือปัจจัยแวดล้อมนอกสนามมากมายนัก
แต่ตรงนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงอยู่บ้าง เพราะบางคนเพิ่งมีประสบการณ์ในทีมชาติไทยไม่นาน ตรงนี้เป็นสิ่งที่ทีมงานผู้ฝึกสอนและรุ่นพี่ในทีมต้องพยายามช่วยกันดูแลผู้เล่นหน้าใหม่ๆ
ส่วนแผนการเล่นและการจัดตัวนักเตะเป็นภารกิจที่
อากีระ นิชิโนะ ต้องจัดการ เชื่อว่าหลายๆ อย่างต้องลงตัวและเข้าที่เข้าทางกว่าเดิม
เกมกับ เวียดนาม ถือเป็นนัดแรกอย่างเป็นทางการของ “นิชิโนะ” ที่ได้เห็นฟอร์มลูกทีม แม้ก่อนหน้านั้นจะมีอุ่นเครื่องกับ
ไทยฮอนด้า มา 1 นัด แต่เทียบกันไม่ได้เลย
“นิชิโนะ” เพิ่งจะเห็นหน้างานจริงๆในเกมกับ “ดาวทอง” นั่นละว่าแผนที่วางไปหรือตัวนักเตะที่จัดลงเล่นสามารถทำได้ตามที่คาดหวังมากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญจากที่มีเวลาฝึกซ้อมเตรียมทีมแค่ 10 วันและได้นักเตะแบบ
“ฟูลทีม” จริงๆ แค่ 3 วันก่อนแข่งนัดแรก แต่มาถึงตรงนี้ “นิชิโนะ” มีเวลาเตรียมทีมมากกว่าเดิมพอสมควร
หลายๆ อย่างจึงควรต้องพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการเล่น แผนการเล่น และตัวผู้เล่นที่คาดว่า “นิชิโนะ” ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งตัวจริงและตัวสำรอง
สถานการณ์ของเกมจะแตกต่างจากเดิมด้วย นัดแรก เวียดนาม มาเพื่อเอา 1 แต้มกลับบ้าน เกมรับจึงแน่นเป็นพิเศษ แต่นัดนี้ อินโดนีเซีย คงไม่เน้นรับเอาแค่ 1 แต้ม แต่ขอลุ้น 3 แต้ม
ดังนั้นเกมน่าจะเปิดสู้กันสนุก เพราะทั้ง อินโดนีเซีย และ ไทย ต้องการ 3 แต้มทั้งคู่ ตรงนี้อยูที่ว่าใครจะดีกว่ากันแล้ว
แน่นอนว่าการไปเยือน “เสนายัน” ไม่เคยเป็นงานง่ายของนักเตะไทย อีกทั้ง อินโดนีเซีย ไม่แพ้ ไทย ในบ้านมา 11 ปีแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเกมนี้ “ช้างศึก” จะไม่มีลุ้น
ฟุตบอลลูกกลมๆเอาแน่เอานอนได้ที่ไหน ที่ผ่านมานักเตะไทยเคยไปซิวแชมป์ที่แผ่นดิน “อิเหนา” มาแล้วทั้ง
“ซีเกมส์” และ
“ไทเกอร์คัพ” นั่นแสดงว่าทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้หมด
นี่คืออีกเกมสำคัญของทีมชาติไทย นัดแรกว่ายากแล้ว นัดสองถือว่ายากไม่แพ้กัน แต่ถ้าคิดฝันไกลถึง “ฟุตบอลโลก” ควรต้องมี 3 แต้มกลับออกมา.....เท่านั้น !!!
“บับเบิ้ล”