ร่วมๆ 2 เดือนที่หายหน้าหายตาไปจาก เอสซีจี เมืองทอง เพราะมีปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ทำให้การพักรักษาตัวครั้งนี้ต้องใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อทำให้ร่างกายหายเป็นปลิดทิ้ง
ล่าสุดเขาหายแล้ว พร้อมกลับมาลงสนามให้กับ "กิเลนผยอง" ได้อีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย เขาคนนั้นก็คือ "ธีรศิลป์ แดงดา"
ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลับมาเล่นให้กับสโมสร แต่เป็นการคัมแบ็กกลับมาเล่นให้กับ
"ทีมชาติไทย" อีกครั้งด้วย โดย "อดีตหัวหอกเจลีก" ผู้นี้ถูกเรียกตัวเป็น 23 คนสุดท้ายใน 2 เกมที่ ช้างศึก จะอุ่นเครื่องกับ
ดีอาร์ คองโก ในวันที่ 10 ต.ค. นี้ และต่อด้วยเกมคัดบอลโลก 2022 ที่ไทยจะบุกไปเยือน ยูเออี ในวันที่ 15 ต.ค.นี้
และการที่ "มุ้ย" ถูกเรียกตัวติดทีมชาติเชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่าเราน่าจะมีมิติในเกมบุกที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อยแน่นอน
เพราะหลังจากที่ ทีมชาติไทย เล่นมา 2 เกมแม้จะจบด้วยการเสมอ 1 และ ชนะ 1 นัด และยิงได้ถึง 3 ประตูในเกมที่บุกชนะ อินโดนีเซีย
แต่ถ้ามองกันแบบกลางๆ เชื่อว่าแฟนบอลไทยคงเห็นคล้ายๆ กันว่าเกมรุกเรายังขาดๆ เกินๆ อยู่พอสมควร ซึ่งไม่ใช่ว่า 2 คู่หูจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่าง ศุภชัย ใจเด็ด หรือแม้แต่ สุภโชค สารชาติ ที่ได้รับโอกาสใน 2 เกมแรกไม่ดี แต่ทั้งสองคนยังทำผลงานให้สม่ำเสมอตลอดรอดฝั่งไม่ได้
ดังนั้นการมีรุ่นพี่ที่เคยแผ่กระจายความร้ายกาจไปทั่ว
"อาเซียน" และ
"เอเชีย" มาแล้วอย่าง ธีรศิลป์ เป็นตัวช่วยน่าจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น
เพราะ ธีรศิลป์ ไม่ได้มีดีแค่การยิงประตู
แต่ยังมีดีที่การเล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีม เนื่องจาก "มุ้ย" สามารถพักบอลได้แทนกองกลางได้, สามารถทำเองได้ในแบบกองหน้า, สามารถดึงตัวเองลงมาเล่นต่ำได้หรือเป็นตัวที่เหมาะมากๆ กับการเล่นในแบบ "ฟอลส์ ไนน์" (false 9) และที่สำคัญคือการเล่นกับตัวประกบของคู่ต่อสู้ได้ดีอีกด้วย
ดังนั้นการได้
"อดีตกองหน้าลาลีกา" กลับมาสู่ทีมน่าจะทำให้
"ช้างศึก" ตัวนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะสุดท้ายในวันที่กองหน้าไทยยุคใหม่ยังไม่ผลิดอกออกผลมาเป็นลูกให้ได้ใช้กัน ....
ชื่อของ ธีรศิลป์ แดงดา ก็ยังเป็น "กองหน้า" ที่เราหวังพึ่งได้เสมอ !!!
บทความโดย : บอลกูรู (เจษดาพร ศรีสรง)