logo-heading

สัปดาห์ที่ผ่านมาแวดวงฟุตบอลไทยมีข่าวที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน “โอลิมปิกเกมส์” อยู่ 2 ข่าวเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่คนในข่าวต่างยุคต่างสมัยกัน

ไฮไลท์คือการจับสลากแบ่งสาย “ฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปีชิงแชมป์เอเชีย 2020” ที่ไทยเป็น “เจ้าภาพ” ระหว่างวันที่ 8-26 ม.ค. 2563 ทัวร์นาเมนต์นี้มี 16 ชาติเข้าร่วม เตะกัน 32 นัดหา 3 ทีมเป็นตัวแทนเอเชียไปกีฬาโอลิมปิก “โตเกียวเกมส์ 2020” ในช่วงกลางปีที่ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพและได้สิทธิ์เตะในรอบสุดท้ายอยู่แล้ว นักเตะไทยถูกจับอยู่ “กลุ่มเอ” ร่วมกับ อิรัก ออสเตรเลีย และ บาห์เรน กลุ่มของไทยหนักหรือเบาอยู่ที่มุมมอง แต่เกมระดับ “รอบสุดท้ายชิงแชมป์เอเชีย” แบบนี้ถ้าว่ากันตรงๆ คงต้องบอกว่าไม่มีเบา อยู่ที่เจอหนักมากหรือน้อยเท่านั้น ที่น่าสนใจคือการเตรียมทีมชาติไทยมากกว่าว่าพร้อมแค่ไหนสำหรับการชิงแชมป์เอเชียที่วางเป้าหมายเอาไว้ว่าต้องติดเป็น 1 ใน 3 ไป “โอลิมปิก 2020” ให้ได้ เอ่ยถึงเรื่องนี้ทีไรรู้สึกเสียดายทุกที ทีมชาติไทยควรได้เตรียมทีมต่อเนื่องมากว่า 3 ปีแล้ว นับตั้งแต่ “สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ” วางเป้าเอาไว้อย่างหรูในตอนนั้นว่าจะไปโอลิมปิก ทั้งเริ่มแผนเตรียมทีมนับ 1 ก่อน “ซีเกมส์ 2017” รวมถึงเสนอตัวขอเป็น “เจ้าภาพ” เพื่อชิงความได้เปรียบในเกมรอบสุดท้าย แต่เอาเข้าจริงการเตรียมทีมดันล้มเหลวไม่เป็นท่า นโยบายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาดั่ง “ไม้หลักปักขี้เลน” วันวาน..วันนี้..พรุ่งนี้...ฟุตบอลไทยสู่ฝัน “โอลิมปิก” 3 ปีเปลี่ยนโค้ชไป 4 รอบแบบเพิ่งได้ อากีระ นิชิโนะ มารับงานควบกับทีมฟุตบอลโลก เท่ากับว่าแทนที่จะได้เตรียมทีมมาแล้ว 3 ปีกลายเป็นมีเวลาแค่ 4-5 เดือน ก่อนแข่งเท่านั้น !!! สภาพทีม “ยู-23” ในวันนี้จึงน่าเป็นห่วงมากกว่าจะไปกังวัลกับทีมคู่แข่งว่าเป็นอย่างไร เพราะเอาจริงๆ “นิชิโนะ” เพิ่งได้เริ่มนับ 1 เตรียมทีม แต่ยังไม่เคยเจอกันแบบเต็มทีมด้วยซ้ำ การเข้าแคมป์ช่วง “ฟีฟ่าเดย์” ในเดือนตุลาคมนี้จะเป็นการรวมทีมครั้งแรกของ “นิชิโนะ” แต่ก็น่าสนใจว่ากุนซือญี่ปุ่นจะบริหารจัดการอย่างไรในการคุมทีมชาติไทยทั้ง 2 ชุดพร้อมกัน สถานการณ์ของทีม “ยู-23” เท่าที่เห็น “วันนี้” จึงน่าเป็นห่วงถึงเป้าหมายที่หวังกันไว้ว่า “ฟุตบอลไทยจะกลับไปโอลิมปิกอีกครั้ง” จะเป็นจริงได้หรือไม่ บางคนอาจไม่รู้ว่า “วันวาน” ที่ผ่านมาฟุตบอลไทยเคยไปโอลิมปิกมาแล้วถึง 2 ครั้ง เรื่องนี้หลายคนรู้ แต่อีกหลายคนยังไม่รู้ คำถามที่ว่า “ฟุตบอลไทยเคยไปโอลิมปิกหรือเปล่า” จึงถูกถามบ่อยหน วันวาน..วันนี้..พรุ่งนี้...ฟุตบอลไทยสู่ฝัน “โอลิมปิก” ใครยังไม่รู้ก็บอกให้รู้ไว้เลยว่าทีมชาติไทยเคยสร้างประวัติศาสตร์ไปแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่พ.ศ.2499 ใน “กีฬาโอลิมปิก 1956” ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย นักเตะทีมชาติไทยยุคนั้นมีหลายคนที่คนรุ่นหลังเคยได้ยินชื่อ อาทิ “ปรมาจารย์ลูกหนัง” พล.ต.สำเริง ไชยยงค์ และ “น้าสันต์” ประสันต์ สุวรรณสิทธิ์ ที่ปัจจุบันล่วงลับไปแล้ว วันวาน..วันนี้..พรุ่งนี้...ฟุตบอลไทยสู่ฝัน “โอลิมปิก” ประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2 ของฟุตบอลไทยในโอลิมปิกเกิดขึ้นในพ.ศ.2511 หรืออีก 20 ปีต่อมาจากครั้งแรกใน “โอลิมปิก 1968” ที่เม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโก ปัจจุบันนักเตะชุดลุยเม็กซิโกยังอยู่ในวงการหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นิวัติ ศรีสวัสดิ์, ชัชชัย พหลแพทย์, สราวุธ ประทีปากรชัย, ไพบูลย์ อัญญะโพธิ์, เกรียงศักดิ์​ วิมลเศรษฐ์ ฯลฯ ทุกวันนี้บางคนทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับสโมสร บางรายเปิดสอนฟุตบอลเด็กๆ หลายคนทำหน้าที่ผู้ควบคุมการแข่งขันในฟุตบอลลีก ทุกๆ คนถือเป็น “ฮีโร่” ของวงการฟุตบอลไทย แต่น่าเสียดายที่บางคนดูจะ “ถูกลืม” เพราะฟุตบอลไทยยุคสมัยนี้ไม่ค่อยระลึกถึง “รากเหง้า” ที่ผ่านมา วันวาน..วันนี้..พรุ่งนี้...ฟุตบอลไทยสู่ฝัน “โอลิมปิก” น่าเสียใจที่ข่าวเศร้าที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนถูกพูดถึงแค่ในวงเล็กๆ ทั้งที่ สหัส พรสวรรค์ คือนักเตะที่ยิงประตูชัยให้ทีมชาติไทยได้ไปโอลิมปิก 1968 ได้เสียชีวิตลง แม้ สหัส จะไม่ได้ร่วมทีมไปเม็กซิโกเนื่องจากป่วยหนักจนต้องหลุดจากทีมไป แต่หลังจากนั้นได้กลับมาร่วมทีมชาติไทยคว้าแชมป์เยาวชนเอเชียหรือ​ “ถ้วยทอง” ในเวลาต่อมา นั่นคือความสำเร็จที่ต่อเนื่องมาจากการที่ทีมชาติไทยได้ไปโอลิมปิกที่เม็กซิโก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อกำเนิดฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ด้วย ชื่อของ “สหัส พรสวรรค์” จึงควรค่าแก่การเป็น “วีรบุรุษลูกหนังไทย” คนหนึ่ง แต่น่าผิดหวังที่วงการฟุตบอลไทยกลับนิ่งเฉย ไม่มีแอคชั่นใดๆ จาก สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เลย สุภาษิตจีนว่าไว้ “เวลาดื่มน้ำ อย่าลืมคิดถึงต้นลำธาร” ฟุตบอลไทยกว่าจะมาถึงวันนี้ผ่านอะไรมาเยอะ อย่าหลงไหลกับปัจจุบันจนลืมอดีตที่มา สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ควร “ใส่ใจ” และให้เกียรติ “ฮีโร่” ทุกคน ยิ่งเวลานี้กำลังฝันจะไปโอลิมปิกอีกครั้งยิ่งควรยกย่องสดุดีขุนพลประวัติศาสตร์โอลิมปิกไทย

นักเตะรุ่นเหลนของลุงๆ ที่เคยไปโอลิมปิกมาแล้วจะได้ภาคภูมิใจและรู้ว่าเมื่อสู้และทำชื่อเสียงเพื่อประเทศชาติแล้ว........ท้ายที่สุดจะไม่ถูกลืม

 

“บับเบิ้ล”

 
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline