logo-heading

ช่วงสัปดาห์ “ฟีฟ่าเดย์” รอบระหว่างวันที่ 7-15 ต.ค.ถือว่าทีมชาติไทยคึกคักเลยทีเดียว ตั้งแต่ “ช้างศึก” ชุดใหญ่ไล่ลงมาถึงน้องเล็กมีความเคลื่อนไหวกันทุกชุด

แน่นอนว่าไฮไลท์อยู่ที่ “ฟุตบอลโลก 2022” รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 นัดที่ 3 กลุ่ม จี ที่นักเตะไทยต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “ยูเออี” ในวันที่ 15 ต.ค.

นี่คือเกมที่สำคัญไม่น้อยของนักเตะจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพราะเป็นการเจอกับทีมจาก “โถ 1” ที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม

2 นัดที่ผ่านมาทีมชาติไทยเก็บไปแล้ว 4 แต้มแบบไม่เสียประตู แต่ที่น่าเสียดายคือการเจ๊า “เวียดนาม” ในบ้านทำให้แต้มหลุดมือไป 2 คะแนน ตรงนี้ถือว่า “ขาดทุน”

ดังนั้นการเจอกับ ยูเออี จึงจำเป็นต้องมีแต้มในบ้านให้ได้และควรลุ้นที่ 3 คะแนนด้วย หากเก็บแต้มจากทีมโถ 1 ได้น่าจะเพิ่มโอกาสเข้ารอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย ได้สูง

ถามว่าโอกาสมีมากน้อยแค่ไหน ต้องบอกว่าเกม ไทย กับ ยูเออี ออกได้ทั้ง 3 หน้า ไม่ว่าชนะ เสมอ หรือ แพ้

ฟุตบอลทีมชาติไทยคึกคักสัปดาห์ “ฟีฟ่าเดย์”

ทั้งสองชาติเจอกันบ่อยหน ชื่อชั้นของทีมจากตะวันออกกลางอาจดูดีกว่าหน่อย แต่บอกเลยว่า “เล่นกันได้” ล่าสุดใน “เอเชียนคัพ 2019” ที่บ้านยูเออีแท้ๆยังเสมอกัน 1-1

ดังนั้นเกมที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ต.ค.นี้หากทีมชาติไทยจะหวังที่ 3 คะแนนคงไม่ใช่สิ่งที่เกินเลย เล่นในบ้านแบบนี้หวังน้อยกว่านีได้อย่างไร

แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ก็น่าเสียดายที่ทีมชาติไทยไม่ “ฟูลทีม” หลัง “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธิ์ มีอาการบาดเจ็บจนต้องถอนตัวออกไป

นี่คือการบ้านที่ อากีระ นิชิโนะ กุนซือชาวญี่ปุ่นต้องคิดหนักในการแก้ปัญหา แต่จะว่าไปถือเป็นเรื่องธรรมดาของเกมฟุตบอลที่ต้องเจอปัญหาทำนองนี้อยู่แล้ว

“นิชิโนะ” มีเวลาพอสมควรเพื่อจัดทัพเตรียมทีมใหม่ โดยมีคิวอุ่นเครื่อง 1 นัดให้ทดสอบทีมกับ “คองโก” ทีมอันดับ 90 ของโลกในวันที่ 10 ต.ค.ที่ลีโอ สเตเดียม

เชื่อว่าเกมอุ่นเครื่อง 1 นัดกับระยะเวลาที่นักเตะรวมตัวเข้าแคมป์ฝึกซ้อมราว 9-10 วันน่าจะทำให้ “นิชิโนะ” ยกระดับทีมได้มากขึ้นกว่าแคมป์ตอน 2 นัดแรกไม่มากก็น้อย

ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรถือเป็นเรื่องต่างมุมมอง แต่ถึงตรงนี้เชื่อว่ากุนซือระดับ “นิชิโนะ” ที่โปรไฟล์หรูและทำฟุตบอลมาหลายสิบปีย่อมรู้ดีกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีม

ทุกอย่างวัดกันที่ผลการแข่งขัน รอลุ้นและรอเชียร์กันต่อไป แล้วค่อยว่ากันใหม่หลังจบเกม

ฟุตบอลทีมชาติไทยคึกคักสัปดาห์ “ฟีฟ่าเดย์”

นอกเหนือจากทีมชาติไทยในฟุตบอลโลกแล้ว “ฟีฟ่าเดย์” รอบนี้ยังเป็นการนับ 1 ของ “นิชิโนะ” กับการเตรียมทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปีหรือ “ยู-23” ด้วย

แม้จะไม่ได้ไปทำทีมแบบเต็มตัวเพราะมีภารกิจต้องดูทีมชาติไทยชุดใหญ่ควบคู่กันไป แต่ถือว่า “นิชิโนะ” ได้เริ่มต้นกับทีม “ยู23” แบบเป็นทางการเสียที

“นิชิโนะ” มอบหมายภารกิจให้ “โค้ชหระ” อิสระ ศรีทะโร รับผิดชอบดูแลทีม “ยู-23” โดยเขียนแบบฝึกซ้อมต่างๆ ให้ไปเทรนนักเตะเพื่อเตรียมทีมลุย 2 ทัวนาเมนต์ใหญ่

นี่คือการนับ 1 สำหรับการเตรียมทีมไปแข่งขันกีฬา “ซีเกมส์ 2019” ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ปลายปีนี้ รวมถึง ฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปีชิงแชมป์เอเชีย 2020 ในเดือนมกราคม 2563

คุณสมบัติของนักเตะทั้ง 2 ทัวนาเมนต์ต้องอายุไม่เกิน 22 ปี หรือเกิดพ.ศ.2540 เป็นต้นไป คือแข่ง “ซีเกมส์” อายุแค่ 22 ปี แต่พอไปถึง “ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย” ก็อายุเต็ม 23 ปีพอดี

ที่ผ่านมามีแต่คำถามว่าเมื่อไร “ยู-23” ที่ได้ “นิชิโนะ” มาทำทีมจะเริ่มเตรียมทีมสักที เพราะวางเป้าหมายหรูทั้งป้องกันแชมป์ซีเกมส์และตีตั๋วไปโอลิมปิก “โตเกียวเกมส์ 2022”

กระทั่งถึง “ฟีฟ่าเดย์” นี่ละงานถึงได้เริ่มเดิน ทั้งเข้าแคมป์และอุ่นเครื่อง 2 เกมวันที่ 11 ต.ค.กับ อาร์มี ยูไนเต็ด และวันที่ 14 ต.ค.พบ เกษตรศาสตร์ ที่เป็นทีมในระดับ “ไทยลีก 2” ทั้งคู่

การอุ่นเครื่อง 2 นัดนี้มองได้ต่างมุม มุมหนึ่งถือว่ายังดีที่่มีเกมให้ทดลองตัวผู้เล่น แต่อีกมุมถ้าเทียบกับเป้าหมายของทีม “ยู-23” แล้ว การอุ่นเครื่องควรยกระดับให้ดีกว่านี้มั้ย ?

หวังว่าหยุด “ฟีฟ่าเดย์” รอบหน้าเกมอุ่นเครื่องของ “ยู-23” ขอเป็นระดับ “อินเตอร์” หน่อย ไม่งั้นมันช่างสวนทางกับเป้าหมายที่วางไว้แบบสวยหรูเสียจริงๆ

ฟุตบอลทีมชาติไทยคึกคักสัปดาห์ “ฟีฟ่าเดย์”

ส่วนทีมน้องเล็กที่มีความเคลื่อนไหวใน “ฟีฟ่าเดย์” รอบนี้ให้ได้ติดตามเหมือนกันคือ “ยู-19” ที่มีคิวเตะ “จีเอสบี แบงค็อก คัพ 2019” ที่สนามบุณยะจินดา ระหว่างวันที่ 10-12 ต.ค.นี้

ทัวนาเมนต์นี้เตะแบบ 4 เส้า วันที่ 10 ต.ค. ไทย พบ เวียดนาม และ อุซเบกิสถาน พบ เกาหลีใต้ ทีมชนะเข้าไปชิงชนะเลิศ และทีมแพ้ไปชิงอันดับ 3 ในวันที่ 12 ต.ค.ต่อไป

ทีม “ยู-19” ถือว่าน่าสนใจเหมือนกัน เพราะมีการเปลี่ยนแปลง “โค้ชหระ” ถูกดันไปเป็นผู้ช่วย “นิชิโนะ” ทำให้ต้องหาผู้ฝึกสอนใหม่

ทัวนาเมนต์นี้ยังหาโค้ชใหม่ไม่ทันเลยให้ “โค้ชบุ๊ค” บำรุง บุญพรหม รักษาการคุมทีมไปก่อน โดยมี ซัลบาเดอร์ จาก “เอคโคโน” เข้ามาร่วมทำทีมด้วย

ทีม “ยู-19” ถือเป็นรอยต่อของนักเตะเยาวชนที่จะต่อยอดขึ้นชุดใหญ่ต่อไป ดังนั้นผู้เล่นชุดนี้จึงถือว่าน่าสนใจและน่าจับตามองไม่น้อย

สรุปสุดท้ายถึงตรงนี้คงต้องบอกว่า “ฟีฟ่าเดย์” รอบนี้  “สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ” ใช้ประโยชน์ได้ดีทีเดียว ทีมชาติไทยแต่ละชุดมีความเคลื่อนไหวอย่างที่ควรจะเป็น

ทำดีต้องชื่นชม ขอปรบมือให้ และหวังว่า “ฟีฟ่าเดย์” รอบต่อไปจะคึกคักแบบนี้อีก ถ้าจะให้ดีควรบอกแต่เนิ่นๆด้วยซ้ำว่าแต่ละชุดจะได้คิวอุ่นเครื่องกับใคร หรือเคลื่อนไหวยังไง

ฟุตบอลไทยยังไงแฟนบอลไทยก็รอเชียร์

 

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline