logo-heading
สุดสัปดาห์นี้บิ๊กแมตช์ที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอย “แดงเดือด” บิ๊กแมตช์ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล สงครามเดือดประจำฤดูกาลยกแรก เตรียมระเบิดความมันส์ในวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคมนี้ ซึ่ง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูงตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ในปัจจุบัน แน่นอนว่าพอพูดถึง “แดงเดือด” นี่คือบิ๊กแมตช์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน การแข่งขันระหว่างคู่อริต่างเมืองที่มีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน แฟนบอลหลายคนอาจจะสงสัยกันว่า ทำไม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ถึงเกลียดกันมาก ทำไมทั้ง 2 ทีม ถึงได้กลายเป็นตำนานแห่งความบาดหมางกัน และ กลายเป็นคู่อริตลอดกาลเรื่องอะไร และนี่คือคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด ย้อนกลับไปเมื่อ 120 กว่าปีที่แล้ว สมัยนั้นยังไม่ได้มีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอล เมือง แมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมรุ่งเรืองในการผลิตฝ้ายดิบ ส่วนทาง ลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าเรือที่สามารถเก็บโกยเงินทองได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่ง ลิเวอร์พูล จะเป็นเมืองที่เชื่อมความสัมพันธ์ในเกาะอังกฤษกับดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะไปยังอเมริกา การค้าขายทางเรือกว่า 40% ของทั้งโลกต้องมาเทียบท่าที่เมอร์ซี่ย์ไซด์ “แดงเดือด” ศึกศักดิ์ศรีที่เป็นมากกว่าแค่ฟุตบอล ทั้งสองเมืองนี้ เมื่อก่อนเรียกได้ว่าอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ไม่มีการคมนาคมขนส่งทางน้ำ จึงต้องผ่านทางเมือง ลิเวอร์พูล ในการเดินทางหรือส่งออก แต่ในปี 1870 เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ ผู้คนต่างต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเพื่อให้มีชีวิตอยู่ แต่เมือง แมนเชสเตอร์ ยังคงเป็นเมืองที่สำคัญในอุตสาหกรรมทอฝ้าย แต่วัตถุดิบที่สำคัญต้องส่งผ่านทางเรือ ซึ่งต้องเสียเงินค่าผ่านทางให้ ลิเวอร์พูล มหาศาล ด้วยความที่ค่าธรรมเนียมเหล่านั้นสูงจนเกินไป ทำให้คนเมือง แมนเชสเตอร์ เดือดร้อนกันเป็นแถว เพราะเงินที่ใช้อยู่นั้นไม่พอกิน ดังนั้นสภาเมืองแมนเชสเตอร์ จึงแก้เกมด้วยการระดมเก็บเงินทุนเพื่อขุดคลองยาวมาจากแม่น้ำเมอร์ซี่ย์เข้ามายังเมือง และเปิดทำการตั้งแต่ปี 1894 แมนเชสเตอร์ ขุดลอก คลองเดินเรือแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่ทำให้เรือขนฝ้ายดิบสามารถล่องไปยังท่าเรือที่เมืองแมนเชสเตอร์ ได้โดยตรงและไม่ต้องจอดเทียบท่าเพื่อเสียภาษีปากเรือที่ เมอร์ซี่ย์ไซด์ อีกต่อไป จากการทำท่าเรือของ แมนเชสเตอร์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ขาดรายได้มหาศาลทันที และทำให้คนเมือง ลิเวอร์พูล ตกงาน จึงกลายเป็นความแค้นเคืองเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกันในอดีต และนี่คือจุดเริ่มต้นของรอยบาดหมางระหว่างทั้งสองสโมสร ต่อมาจนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลและมีการแข่งขันกันอย่างเป็นทางการ ทั้ง 2 เมืองยังคงเป็นเมืองที่มีอิทธิพลมากสุดในอังกฤษ ทาง แมนเชสเตอร์ มี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นตัวแทน และ ลิเวอร์พูล มี ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรเชิดหน้าชูตาให้กับเมือง แม้ว่าใน ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ จะมีทีมอย่าง เอฟเวอร์ตัน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นอีกสโมสรเก่าแก่ แต่ด้วยเม็ดเงินการบริหาร ความสำเร็จ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล กลายเป็น 2 ทีมตัวแทนแต่ละเมืองที่ทรงอิทธิพลเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากกว่า “แดงเดือด” ศึกศักดิ์ศรีที่เป็นมากกว่าแค่ฟุตบอล สำหรับทั้ง 2 ทีมนั้นยังคงเป็นทีมยักษ์ใหญ่ในเกาะอังกฤษ และทาง ลิเวอร์พูล นั้นได้แชมป์ลีกในปี 1963-1964 จากการทำทีมของ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นได้แชมป์ลีกในปีต่อมา โดยทั้งสองทีมนั้นสลับกันได้แชมป์และไล่บี้บดขยี้กันอย่างมัน สลับกันปีต่อปี เวลาต่อมาในปี 1968 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก้าวไปไกลจนได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ทาง ลิเวอร์พูล เอง ก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เดินหน้าพัฒนาทีมจนกลายเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เช่นเดียวกัน และกลายเป็นหน้าเป็นตาของเกาะอังกฤษ ซึ่งหากย้อนกลับไปในช่วงยุค 60-80 ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จและครองความเป็นที่หนึ่งในเกาะอังกฤษมากกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยการครองแชมป์ลีกสูงสุดอย่างต่อเนื่องถึง 18 สมัย “แดงเดือด” ศึกศักดิ์ศรีที่เป็นมากกว่าแค่ฟุตบอล ปีศาจแดง ต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ ลิเวอร์พูล มาโดยตลอด ในตอนนั้นพวกเขาคว้าแชมป์ลีกครั้งสุดท้าย ฤดูกาล 1966–1967 พวกเขาต้องรอถึง 26 ปีต่อมา จึงคว้าแชมป์ได้อีกครั้งภายใต้การนำทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่กลับมาสร้างชีวิตชีวาให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาเฉิดฉายและได้เวลากด ลิเวอร์พูล ลงไปอยู่ใต้ร่มเงาบ้าง หากนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก พวกเขาครองแชมป์มาแล้วถึง 13 สมัย ต่างกับ ลิเวอร์พูล ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสถ้วยพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตามในเวทียุโรป ลิเวอร์พูล ยังคงสร้างประวัติศาสตร์ได้อยู่ด้วยการคว้าแชมป์บิ๊กเอียร์ ฤดูกาลที่ผ่านลิเวอร์พูล กลับมาทวงตำแหน่งจ้วยุโรปอีกครั้ง ประสบความสำเร็จภายใต้กุนซืออย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่พา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ได้สำเร็จ ซึ่งในปัจจุบันดูเหมือน ลิเวอร์พูล ตื่นขึ้นอีกครั้ง สวนทางกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ วางมือดูเหมือนผลงานของพวกเขาจะถอยหลังลงคลอง ต่างกับ ลิเวอร์พูล ที่เดินหน้า ช่วงเวลานี้จึงเป็นทีของ ลิเวอร์พูล ที่ได้โอกาสเชิดหน้าชูตาอีกครั้ง “แดงเดือด” ศึกศักดิ์ศรีที่เป็นมากกว่าแค่ฟุตบอล จากความสำเร็จมากมายของทั้งสองทีม ประวัติศาสตร์อันยาวนาน การแข่งขันและขับเคี่ยวของทั้ง 2 ทีมที่เป็นเหมือนตัวแทนของเมือง ซึ่งเป็นคู่แข่งกันมาตลอด การโฆษณา การตลาดต่าง ๆ ทั้ง 2 ทีมสามารถเพิ่มจำนวนแฟนบอลขึ้นทุกปี ศึกแดงเดือด จึงเป็นแมตช์ที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอชมเกม ในช่วงยุคหลัง ทั้ง 2 ทีมก็ได้มีการซื้อผู้เล่นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยกระดับทีมของตัวเอง เป็นอีกสิ่งที่เพิ่มมนต์เสน่ห์ในเกมอีกด้วย ทุกครั้งที่มีการแข่งขันระหว่างศึกแดงเดือด แฟนบอลทั้ง 2 ทีมมารอที่หน้าสนามอย่างคับคั่งความชิงชังและต้องการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่างถูกฝังสู่รากลึกส่งต่อรุ่นสู่รุ่น บางครั้งแฟนบอลอาจมีปัญหากระทบกระทั่งกันบ้างในบางครั้งเพราะนี่คือการพบกันระหว่าง 2 ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทั้งในสนามและนอกสนาม ดังนั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย แดงเดือด ยังคงเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีที่น่าติดตาม เพราะเป็นมากกว่าแค่การแข่งขันฟุตบอล แต่มีเรื่องราวของประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมระหว่าง 2 สโมสรและ 2 เมืองเข้ามาผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในสนาม การเชียร์ของแฟนบอลที่มีฟุตบอลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนกับฟุตบอลเป็นอีกศาสนาหนึ่งเลยก็ว่าได้ ความสนุกเร้าใจ ความดุเดือดของเกม มีให้ชมกันอย่างแน่นอน เพราะทั้งสองทีมต่างก็ต้องแข่งกันเพื่อชิงความสำเร็จให้กับสโมสรให้ได้ เช่นเดียวกับเกมที่จะระเบิดความมันส์ในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งใครจะคว้าชัยชนะไปคงต้องติดตามชม - เปี๊ยกบางใหญ่ -
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline